ดูดวงฟรี

หน้าแรก
www.ดูดวงชีวิต.com

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ดูดวงทั้งหมด ของ เว็บไซต์
www.ดูดวงชีวิต.com ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ ไอดีไลน์ goosiam

หน้าแรก ดูดวงฟรี 1 คำถาม สมัครเป็นนักดูดวง คู่มือนักดูดวง เข้าสู่ระบบ

ค้นหาข้อความดูดวง
ค้นหาจากหัวข้อ ค้นหาจากชื่อ

หน้าแรก
www.ดูดวงชีวิต.com

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ดูดวงทั้งหมด ของ เว็บไซต์
www.ดูดวงชีวิต.com ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ ไอดีไลน์ goosiam

แชร์ไปยัง Facebook เพิ่มเพื่อนทางไลน์ แชร์ไปยัง Google+
แชร์ไปยัง Facebook เพิ่มเพื่อนทางไลน์ แชร์ไปยัง Google+



@line55

กดแชร์ให้เพื่อนๆ ด้วยนะ
LINE it!

เมื่อไหร่หมดกรรม   ขอความเมตตาตาจากอ.บังนันต์
สวัสดีครับอาจารย์บังนันต์
ผมเกิดวันพุธที่ 7 กันยายน 2503 ปีชวด เวลา 8.12 นาฬิกา
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ผมจะหมดกรรมครับ ปีนี้ก็ 54 ปีเต็มแล้วครับ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยครับ งานหลักงานประจำก็ไม่มี เงินเก็บก็ไม่มี มีแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ต้องดูแล มีลูกอยู่ในวัยเรียนซึ่งภรรยาผมดูแลอยู่ครับ อยากทราบว่าเมื่อไหร่จะหมดเคราะห์หมดกรรมแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขครับ
โดย เอ๋ 18 ต.ค. 2557   7:00:31 PM   IP : 125.25.5.194


เมื่อไหร่หมดกรรม   ขอความเมตตาตาจากอ.บังนันต์
สวัสดีครับอาจารย์บังนันต์
ผมเกิดวันพุธที่ 7 กันยายน 2503 ปีชวด เวลา 8.12 นาฬิกา
ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ผมจะหมดกรรมครับ ปีนี้ก็ 54 ปีเต็มแล้วครับ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยครับ งานหลักงานประจำก็ไม่มี เงินเก็บก็ไม่มี มีแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ต้องดูแล มีลูกอยู่ในวัยเรียนซึ่งภรรยาผมดูแลอยู่ครับ อยากทราบว่าเมื่อไหร่จะหมดเคราะห์หมดกรรมแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขครับ
โดย เอ๋ 18 ต.ค. 2557   7:00:31 PM   IP : 125.25.5.194



อ.บังนันต์ โทร 086-2092436
หมอดูดวงระดับ58


ตอบ : 22319 ครั้ง

คะแนนการตอบครั้งนี้
1 คะแนน


คุณหนู จ๊ะเอ๋

ตามชันษากิดวันพุธที่ 7 กันยายน 2503 ปีชวด เป็นคนธาตุน้ำ

ปัจจุบันมีอายุ ย่าง55 ปีแล้ว ดวงชะตากำลังจะเจริญรุ่งเรืองถึงตั้งหลักฐานได้มั่นคง

เรื่องที่เกิดนั้นมันเป็นวิบากกรรม เมื่อหมดเวรกรรมกันมันก็หายไปเอง ถ้าจะให้หมดเร็ว ๆ ก็ต้องล้างด้วยกรรมฐาน จะให้หลักการปฏิบัติมาพร้อมนี้ ให้อ่านทุกตัวอักษร นะครับ ดังนี้

วิชาภาคปฏิบัติกรรมฐาน
เผยแพร่เป็นวิทยาทานผ่านเว็บ goosiam.com
โดยอาจารย์ บังนันต์ เมืองตูล
ข้อเท็จจริงจากใจ
กระผมมิได้มีเจตนา ที่จะตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ใดใดทั้งสิ้น ด้วยเกิดจากแรงบันดาลใจที่อยากจะให้บทความนี้ เกิดประโยชน์ต่อผู้มีใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติกรรมฐาน มันเป็นการชำระล้างจิตและวิญญาณของตัวเองให้สะอาดสดใส โดยปราศจากกิเลสใดใดมาทำให้ม่นหมอง เพื่อบั่นปลายชีวิต เมื่อถึงคราวสิ้นชีพเปลี่ยนภพใหม่ จะได้มีความสุขดังใจปารถนาสมดังที่สร้างกรรมดีไว้ ร่างกายนั้นใครๆก็ทราบกันมาแต่เด็กแล้ว ว่าทำอย่างไรจึงจะสะอาด ทุกคนตามปกติต้อง อาบน้ำ สองครั้งต่อวันอยู่แล้ว แต่จิต นี่ซิน้อยคนนักที่จะคิดถึงมัน วันหนึ่งๆคิดทั้งดีทั้งร้ายไม่รู้เท่าไร นั่นแหละกิเลสเกาะเต็มไปหมด คนส่วนใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยชำละล้างจิตของตัวเองให้สะอาดเลย อาจจะไม่ทราบหรือมุ่งแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องวัดเรื่องวานี่ไม่ต้องถาม นอกจากไปเผาศพเท่านั้น ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ถ้าหากไปกระทบกระเทือนใจคนบางท่านเข้า
ตัวกระผมเองเปรียบเสมือนหิงห้อยน้อยๆ ที่มีแสงสว่างในตัวเองพอสวยงามเพียงเล็กน้อย แต่มีจิตต้องประสงค์เผื่อแผ่รัศมีของตัวเองให้เพื่อนร่วมโลก อันได้แก่ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ได้เป็นแนวทางปฏิบัติตามบทความนี้ ถ้าท่านมีบารมีและดำเนินการให้ถูกขั้นตอนตามที่จะชี้แนะ และหมั่นเพียรปฏิบัติอย่าหยุด แล้วท่านจะต้องได้พบแสงสว่างแห่งความจริง ความสุขที่อิ่มเอิบซึ่งเกิดจากความปีติ สรรหาคำพูดมาบอกกล่าวกันไม่ได้หรอกครับ เปรียบเสมือนคนไม่เคยกินเกลือ จะใช้คำพูดอะไรๆมาอธิบายยังไงก็ทำไม่ได้ที่จะให้ทราบว่ารสของเค็มเป็นเช่นไร (มันเป็นนามธรรมครับ ) ต้องประสบด้วยตัวเองจึงจะรู้ซึ้ง จริงๆครับ
ดังนั้น กระผมจึงพิจารณานำบทความนี้เข้าเว็บ www.goosiam.com เพื่อเป็นสื่อสำหรับเผยแผ่ทาง INTERNET เพื่อจะได้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ท่านทั้งหลายที่ใฝ่ใจในธรรม ในชีวิตของกระผมยังไม่เคยบวชเลย ไม่ว่าในศาสนาใด ได้แต่ศึกษาหาความรู้สร้างสมไว้ในตัว และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาจารย์ทั้งหลายโดยไม่เลือกเจาะจงเป็นปัจเจกบุคคล (เฉพาะคน ) การชอบอ่านหนังสือทุกประเภทและชอบเข้าหาพระสงฆ์รับฟังการสาธยายธรรมจากพระอาริยะสงฆ์ และเผอิญได้มีโอกาสถูกทางราชการเรียกตัวไปฝึกอบรมวิชาการเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อสมัยยังรับราชการอยู่
เนื่องจากได้คณะท่านอาจารย์ชุดที่เป็นครูฝึกปฏิบัติกรรมฐานครั้งนั้น เป็นชุดของพระราชสำนักซึ่งอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมี (ขออนุญาตเอ่อนาม ) พอ.พิเศษ ปาน จันทานุต ถ้าเขียนผิดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะเป็นเวลานานประมาณ 20 ปีแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่าย ฆราวาสและ พระมหาบุญหลง 9 ประโยค เป็นอาจารย์ใหญ่ ทางพระสงฆ์ ได้รับการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทั้งกลางวันและกลางคืน จึงทำให้ผมได้ความรู้มาอย่างแจ่มแจ้งและด้วยมีบารมีเก่าแต่ชาติก่อนมาก จึงทำให้การปฏิบัติก้าวหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น หาได้อวดอ้างหรือ อุตริในสิ่งที่ไม่มีในตนไม่ ถ้าท่านอ่านบทความนี้แล้ว ลองปฏิบัติดู ทำเล่นๆแหละครับ ไม่ต้องจริงจังมาก เพราะมันจะเป็นกิเลส แล้วไม่สำเร็จครับ เมื่อปฏิบัติแล้วมันเกิดผลยังไง หรือมีข้อขัดข้องอย่างไร อย่าเก็บไว้คิดคนเดียว ขอได้โปรดให้ความไว้วางใจ ให้กระผมช่วยสอบอารมณ์การสอบอารมณ์เป็นภาษาของกรรมฐาน ไต่ถามข้อสงสัยในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติครับ
ต่อไปนี้เป็นการบอกกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งแตกต่างจากตำราอื่นๆที่ท่านเคยอ่านหรือเล่าเรียนมา เนื่องจากบทความนี้เกิดจากผลของการปฏิบัติกรรมฐาน ( กัมมัฏฐาน ) ไม่ใช่จากปริยัติ คือการเล่าเรียนหรือจากตำรา
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อน (อาจจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนนะ ) สังเกตมะ คนเราเมื่อมีอายุสูงขึ้นๆมักจะหันหน้าเข้าวัดเข้าวามาปฏิบัติธรรมกัน ทำๆมัย เขาบอกว่า (พระพุทธเจ้า ) คนเราทุกคนเกิดมาจะต้องมีร่างกายและจิตใจ (วิญญาณ ) ประกอบกันสองอย่างจึงจะเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ ร่างกายเมื่อสกปรก ก็ต้องชำระล้างด้วยการอาบน้ำ และจิตใจเมื่อสกปรก จะทำอย่างไร พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จึงชี้แนะให้ปฏิบัติกรรมฐานเท่านั้น จิตจึงจะสะอาดได้ ลองคิดดูวันหนึ่งๆว่าเราคิดมิดีมิร้ายอะไรบ้าง นั่นแหละที่ทำให้จิตสกปรกร่างกายเราอาบน้ำทุกวัน แล้วจิตเล่า ตั้งแต่เกิดจนตายน้อยคนนักที่จะชำระล้างจิต ( ปฏิบัติกรรมฐาน ) เมื่อจิตสะอาด มันก็สงบทำให้กิเลสต่างๆออกไป (กิเลส คือความอยากทั้งหลาย เช่น อยากได้, ไม่อยากได้, อยากเป็น, ไม่อยากเป็น,ฯลฯ มันเสมือนความมืด เมื่อความมืดหายไป ความสว่างไสวก็กลับมาแทน
เรามาเริ่มต้นกันเถอะ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอน เหมือนการขึ้นบ้านเรือนชาน ก้าวขึ้นทีระขั้นๆมันมีมากมายรายวิธี เช่นขึ้นบันได, ขึ้นลิฟท์,โหนเชือกขึ้น, หรือเอาไม้ค้ำถ่อขึ้น, ปีนหน้าต่าง ฯลฯ ควรพิจารณาเลือกเอาทางที่ดีที่สุด เพราะเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ผลมันก็เหมือนกันไม่ว่าจะขึ้นทางไหน การปฏิบัติกรรมฐาน ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่ามีถึง 40 ทาง จะให้บอกทางทั้งหมดกระผมคงจนปัญญา แต่ทางที่พระพุทธองค์ทรงเลือกปฏิบัติและสำเร็จตรัสรู้ด้วย อริยสัจ 4 เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ท่านทรงพิจารณาเลือกปฏิบัติทางสายกลาง ที่ไม่ตรึงเกินหรือหย่อนเกิน ทางนั้นคือ อานาปานสติ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกขณะปฏิบัติกรรมฐาน
ดังนั้น เรามาเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนะครับ (แต่ต้องปาวนาศีล ก่อนนะเอาเพียงศีล 5 ก็พอแล้ว ) เมื่อสวดมนต์เสร็จ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ร่วงลับไปแล้วทุกๆคนและสัตว์โลกทั้งหลาย ต่อด้วยการแผ่เมตตา ต้องตั้งจิตให้มั่นให้ด้วยความเต็มใจนะ ไม่งั้นจะไม่มีผลอะไรเลย ไม่ต้องเกรงกลัวว่าบุญของเราจะหมดไปเนื่องจากการอุทิศส่วนกุศลนั้น เขาเปรียบเสมือนว่าบุญคือแสงสว่างแห่งดวงประทีป เมื่อมีผู้คนร่วมเดินทางไปในที่มืดๆ เรามีแสงสว่างเพียงคนเดียว แต่มีใจเมตตาบอกให้พวกเขาเหล่านั้นเข้ามาในรัศมีแสงสว่างของ
เรา ท่านเห็นภาพหรือยัง ว่าแสงนั้นจะน้อยลงได้ไหม บุญของเราก็คือกันไม่มีหมดและจะได้เพิ่มขึ้นอีก คือบารมี เมื่อเข้าใจดีแล้ว เราก็หวนกลับมาเรื่องเดินจงกรม ไม่ใช่เดินเป็นวงกลมๆนะครับ อย่าเข้าใจผิด คือการเดินไปเดินมา ตามระยะทางที่กำหนด ไม่ใกล้เกินหรือไกลเกินควรจะมีระยะทางประมาณ 3 ถึง 5 เมตร ก็พอควรแล้ว ทำไมจึงต้องเดินจงกรม เพราะว่าการเดินจงกรมนั้นเป็นการเหนี่ยวรั้งจิตที่กระเจิดกระเจิงท่องเที่ยวอยู่ที่ไหนๆก็ไม่ทราบ ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเร็วๆ ท่านทราบมั้ยว่าจิตของคนเรามีกี่ดวง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมดมี 89 ดวง แต่แพทย์แผนปัจจุบันบอก คนเรามีเส้นประสาทสายเมน 88 เส้น แบ่งงานกันทำเป็นครู่ๆ รับและส่งความรู้สึกสู่สมอง (ทางพระเรียกว่าเวทนา)แปลว่าความรู้สึก จะหาอ่านได้ใน ขันธ์ 5 จะบอกก็เกรงว่าจะเขียนไม่ถูก เพราะเป็นภาษา บาลี เอาตัวอย่างนะ เช่น รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา นอกเรื่องเสียนาน คิดว่าคลายเครียดนะการเดินไม่ยากครับ แต่มายากตอนกลับตัวที่จะเดินกลับ หลังจากแผ่เมตตาเสร็จเรียบลุกขึ้นไปตรงที่จะเดินทันที เปรียบเสมือนช่างตีเหล็ก ต้องตีขณะที่เหล็กกำลังร้อนๆอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นอย่างหวังเลยว่าจะพบความสำเร็จ อย่าลืมระยะทางที่จะเดินควรจะมีความประมาณ 3 – 5 เมตร ก็พอ ยืนหันหน้าไปทางจุดที่จะหยุดแล้วหมุนตัวกลับหลังเดินมาที่เดิม เริ่มจากการยืนให้ตัวตั้งตรง เท้าทั้งสองข้างวางชิดกัน ไม่ถึงกับเบียดกันให้ห่างกันสัก 2 นิ้ว เพื่อการทรงตัวมั่นคง ( ช่วยลุกขึ้นทำตามด้วยครับจะได้ไม่ผิดเพี้ยน ต่อไปจะได้สอนลูกหลานได้ถูกต้อง ) ฝ่ามือข้างซ้ายเอามาคว่ำลงที่ต่ำกว่าสะดือพอควรแล้วเอาฝ่ามือข้างขวาคว่ำลงทับบนหลังมือข้างซ้ายหรือจะหย่อยฝ่ามือลงสุดแขนเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเก็ง ลองทำดูเอาให้สะดวก สายตามองข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย (จิตจะได้ไม่วอกแหวก ) หายใจลึกๆ 3 ครั้ง ควรภาวนาคำว่า พุท ขณะลมหายใจเข้า และ โธ เมื่อหายใจออก ครบ 3 ครั้งแล้ว ให้หลบสายตาลงพอเห็นหัวนิ้วโป้เท้า เอาจิตจับเกาะติดอยู่ที่นั่นหยุดคิดถึงเรื่องใดใดทั้งหมด แล้วค่อยๆยกเท้าข้างขวาขึ้นพอพ้นพื้นที่ยืนกระว่าสูงประมาณสักฝ่ามือตัวเองนะครับช้าๆ น้ำหนักตัวอยู่ที่เท้าซ้าย แล้วก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับคำ ภาวนาว่า พูท ( ไม่ใช่เขียนผิดนะ ตั้งใจเขียนตัวนี้ พูท เพื่อให้การออกเสียงได้ถูก พุทยาวๆงัยครับ ) ผมไม่ใช่เพี้ยนนะครับแต่เพื่อความจริงจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ภาวนา พูท และหายใจเข้าลึกๆพร้อมๆกับยกเท้าข้างขวาก้าวไปวางข้างหน้าให้สุดคำว่าพุทพอดีกับเท้าลงถึงพื้นพอดีๆจริงๆนะ ให้เลยหัวนิ้วโป้เท้าซ้ายไปประมาณหนึ่งฝ่ามือตัวเอง ไม่ต้องรีบต้องร้อน แล้วยกเท้าซ้ายก้าวไปพร้อมหายใจออกและ ภาวนาคำว่า โธ ยาวๆทำเช่นเดียวกันกับที่ก้าวเท้าข้างขวาเลยครับ ก้าวเลยไปวางลงให้ห่างจากหัวนิ้วโป้เท้าข้างขวาประมาณ หนึ่งฝ่ามือเช่นกัน เดินไปจนถึงที่ที่กำหนดจะหยุดกลับตัวหมุนกลับแล้วเดินมายังที่เดิม
มาดูการหมุนตัวกลับหลัง ( ไม่เหมือนกลับหลังหันในระเบียบตั้งแถวนะครับ ) มันต่างกัน ทำตามด้วยครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะงงและทำไม่ถูกต้อง เมื่อถึงจุดที่กำหนดให้เงยหน้าขึ้นส่งสายตาแลไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เพื่อคลายความเครียดของตา ภาวนา คำว่าพุท โธ 3 ครั้ง ขออภัย ลืมบอกจุดสุดท้ายที่จะหยุดเดิน ให้ท่านวางเท้าข้างซ้ายเพียงเสมอกันกับเท้าข้างขวาให้พอดี ต่อจากนี้มาดูการกลับตัวเพื่อจะเดินกลับมาที่เดิมยกปลายเท้าข้างขวาขึ้นพอประมาณ ส่วนส้นเท้ายังคงติดอยู่ที่พื้น น้ำหนักตัวจะอยู่ที่เท้าข้างซ้าย ภาวนา พูท ด้วยนะ แล้วหมุนเท้าข้างขวาไปวางตรงกับไหล่ข้างขวาให้พอดี แล้วยกเท้าข้างซ้ายตามไปวางชิดกับเท้าข้างขวา อย่าลืมคำภาวนา ว่า โธ ด้วยครับ ช่วงนี้จะเป็นขวาหันแล้วครับ แล้วดำเนินการต่อไปเหมือนครั้งแรกอีกรอบ ก็จะเป็นอันกลับหลังได้โดยสมบูรณ์ รองทำหลายๆครั้ง จะเห็นว่ามันไม่ใช่ของยากเลยจริงไหม
เมื่อกลับหลังแล้วเสร็จ มองไปทางหน้าส่งสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย หายใจลึกๆ สามครั้ง อย่าลืมภาวนา พูท-โธ ไปด้วย แล้วเริ่มเดินจงกรมต่อไปจนถึงที่กำหนดเวลาไว้ว่าครั้งนี้จะปฏิบัติกรรมฐาน นานกี่นาทีโดยปกติจะใช้เวลาอยู่ในระหว่าง 5-20 นาที นี่ก็เพียงพอแล้ว ขอให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกๆวันเถอะ สำหรับฆราวาส (บุคคลที่ไม่ใช่นักบวช ) พระท่านบอก การที่จะจับดวงจิตของตนเองให้หยุดนิ่งๆได้สักหนีดเนี่ย เอาเพียงแค่ 3วินาทีนี่แหละ สู้บังคับลิงจำนวน 100 ตัว ให้หยุดนิ่งเฉยๆพร้อมๆกันยังง่ายกว่าอีกครับ เขาบอกว่าระยะเวลาเดินจงกรมกับปฏิบัติกรรมฐานจะต้องสอดคล้องกัน คือประมาณพอๆกัน ถ้าเดิน 15 นาที ก็ใช้เวลาปฏิบัติกรรมฐาน 15 นาที เหมือนๆกัน ข้อนี้อย่างไปเคร่งคัดมันนักจะเกิดความเครียด ทำให้เป็น กิเลส
หลังจากเดินจงกรมเสร็จ รีบเข้าที่นั่งลงแล้วอธิษฐานจิตเพื่อปฏิบัติกรรมฐานทันที เหมือนช่างตีเหล็ก ถ้าขืนชักช้าเหล็กเย็นลงก็ต้องเริ่มเผาไฟกันใหม่แหละครับ กรรมฐาน ถ้าช้า จิตของเรามันก็จะฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนให้วุ่นอีกเหมือนเก่า ต้องทำให้ต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ ไม่ใช่หยดน้ำ ที่จริงเราก็ต้องกำหนดสถานที่อันเหมาะสมไว้ก่อนแล้ว ว่าตรงไหนสมควรแก่การที่จะปฏิบัติธรรม อย่างเช่น ในห้องพระ, หน้าหิ้งพระ, หรือสถานที่อันสงบๆสักแห่ง ตามแต่จะสะดวกของแต่ระบุคคล แม้แต่บนที่หลับนอนของเราก็ได้ไม่เป็นปัญหาใดใดทั้งสิ้น สิ่งที่รบกวนร่างกายมากก็คือ ยุง ส่วนทางจิตนั้น คือ นิวรณ์ 5 ข้อหลังนี้เดี๋ยวจะบอกและ ยุง ท่านทราบมาแต่เด็กแล้ว แต่ก็หลายคนนะไม่รู้ว่ามันมีสักกี่ชนิดหาเอาเองครับ บอกอย่างยุงตัวผู้ไม่กินเลือดคนครับเพราะมันกินยางไม้ มนุษย์ก็พอๆกับยุงนะครับ เพศเมียเนียะ เล่นเอา คนเพศผู้ ขนาดระดับ 10,11ติดคุกกันมามากต่อมากแล้ว แหละก็โดนยิงเป้ากันน้อยชะเมื่อไร ดังนั้นก่อนจะทำอะไรๆลงไปก็ควรพิจารณาไว้บ้าง อย่าใช้แค่ความคิด เพราะคำว่าคิดกับคำว่าพิจารณา ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันมาก คิดนี่มันแป๊บเดียว แต่การพิจารณานี่บางเรื่องหลายๆเดือนก็ยังไม่เสร็จ จริงไหม
เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องเดินจงกรมแล้ว ก็ต้องรีบนั่งทันทีโดยใช้ท่านั่งขัดสมาธิ (นั่งขัดสะมาด ) เท้าซ้ายอยู่ข้างล่าง เท้าขวาทับบนเท้าซ้าย แล้วเอาฝ่ามือซ้ายหงายวางลงบนหน้าตัก เสร็จแล้ววางฝ่ามือขวาลงทับบนมือซ้ายวางให้เข้ารูปแบบพระพุทธรูปทรงปรางสมาธิ ให้หัวนิ้วชี้มือขวาชนหัวนิ้วโป้มือซ้าย เอาพอแตะกันตามสบายบางท่านก็วางแบบให้หัวนิ้วโป้ทั้งสองมือชนกันก็มีเยอะ ท่านสามารถที่จะเลือกใช้ได้ตามจริตของตัวเองถนัดเพราะไม่มีข้อบังคับเจาะจง นั่งตัวตรงหรือจะโค้งลงนิดๆ ก็ไม่ว่ากัน หลับตาพอเปลือกตาปิดสนิทไม่เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าเกร็งจนหนังตาย่นหลับเพียงพอดีๆตามสบาย แล้วลองหายใจดูซิ ลึกๆ สั้นบ้าง ยาวบ้าง ถ้ายาวนี่เท่ากับกรรมการนักมวยนับนักมวยที่ถูกคู่ต่อสู้ชกแล้วล้มลงไปนอน แล้วนับจนถึง 10 นั่นแหละครับ เมื่อได้ทดสอบทางลมหายใจดีแล้ว ก็เริ่มกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก
บัดนี้ ถึงเวลาปฏิบัติกรรมฐานโดยตรงระนะ ในเมื่อถ้านั่งและวางมือได้ถูกต้องที่เรียบร้อยแล้ว หลับตามสบาย หายใจเข้า-หายใจออกอย่างสม่ำเสมอ อย่ากระตุกหรือกระชากลมหายใจ จะสั้นหรือจะยาวไม่สำคัญเอาความรู้สึกกำหนดจิตไว้ที่รูช่องจมูก พยายามหายใจเข้า-ออก ให้ความถี่ ห่างเป็นไปอย่างเท่าๆกัน ลมหายใจเข้าก็รู้ ออกก็รู้ อย่าติดตามหายใจไปในท้องนะ เขาให้กำหนดทางลมลงไปในท้องสุดตรงจุดเหนือสะดือประมาณ 2 นิ้ว ขอบอกท่านสุภาพบุรุษ ไว้ก่อน อย่างให้ลมลงต่ำจนถึงลูกอัณฑะ โดยเด็ดขาด เพราะไม่นานนักท่านจะหมดความรู้สึกทางเพศ ลงต่ำสุดเหนือสะดือแค่ 2 นิ้วจะพอดีแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นด้วย ขณะนี้ให้มีความรู้สึกเพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เรื่องราวต่างๆปล่อยวางให้หมด ความรู้สึกในเรือนร่างอยู่ที่ปลายจมูกแล้วจิตเล่ามีอะไรให้เกาะยึดเหนี่ยวบ้างหรือเปล่า มีครับความสำคัญไม่แพ้การรับรู้ลมหายใจเข้า-ออกเลยครับจิตกำหนดจับอยู่ลมหายใจเหมือนกัน คือหายใจเข้าก็ภาวนาคำว่า พุท ( พูท ) จะสั้นหรือยาวอยู่ที่ลมหายใจและหายใจออกก็ ภาวนาคำว่า โธ จะยาวหรือสั้นก็อยู่ที่ลมหายใจเข่นกัน หายใจเข้าก็ พูท หายใจออกก็ โธ หวังว่าคุณท่านคงจะเข้าใจบ้างแล้วนะ ขอบอกก่อนเฉพาะบางท่านนะ ในช่วงระยะประมาณ 5 นาทีแรกท่านอาจจะมีอาการปวดเมื่อยหรือเป็นเหน็บชา ไม่ต้องวิตกกังวน พอพ้นเลยไปสักคู่อาการนั้นจะหายไปเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องเกร็งนั่งอย่าให้ตัวงอลงมาจนอกตกลงมากองอยู่บนพุงนะ เดี๋ยวก็จะพาลหลับเอาง่ายๆ
ขณะที่เรานั่งหลับตาภาวนา พุท-โธ อยู่นั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีแน่ๆครับเช่นความเจ็บปวดเมื่อยขาเท้า ปวดเอวปวดหลัง ข้อนี้ปกติของทุกๆคน ครับ แต่ท่านจะหนีไม่พ้นเลยมีอีกครับ แม้แต่พระสิทธัทถะกุมาร ก็ผจญมาแล้ว มันคือพญามารทั้ง 5 ( นิวรณ์ 5 ) คำจำกัดความ คือตัวกรีดกั้นขวางทางสำเร็จของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ชาวบ้านเขาเรียกพญามาร ตัวนี้แหละที่พระพุทธเจ้า ชนะมันจนสำเร็จสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มันมีตัวอะไรบ้าง ขอย้ำนะ นิวรณ์ 5 นี่ต้องจำมันให้เข้าใจเลยนะ มันมีดังต่อไปนี้ :-
1. หมกมุ่นกามารมณ์ ลุ่มหลงความรัก
2. โกรธเกลียด อาฆาต พยาบาทเครียดแค้น
3. ซึมเซา เหงาหงอย หาวนอน
4. ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ รำพึงรำพัน
5. ลังเล สงสัย เชื่อ ไม่เชื่อ
กระผมพิจารณาแล้วนะ คงไม่ต้องอธิบายรายละเอียด นะครับ เดี๋ยวจะว่าผมดูถูกภูมิปัญญาของท่านขณะที่เราอยู่เฉยๆเนี่ย ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจเราเลย แต่พอนั่งหลับตาภาวนา พุท-โธ ปุบมันมาทันที ขณะที่ท่านอ่านบทความนี้ก็ไม่มีอะไรมา แต่ถ้าคุณท่านนั่งหลับตา เริ่มภาวนา ซิมาแน่ไอ้ความหลังเก่าๆสมัยยังเด็ก ยังหนุ่ม สาว โน่น เคยทำเรื่องมีเรื่องสารพัดเรื่องนานาชนิด ไหลเข้ามาให้หวนคิดถึงมันทันที เช่นเคยโดนคุณพ่อคุณแม่ดุ เพราะน้องเล่นเข้าของแตกหัก แทนที่จะว่าน้อง กับมาว่าเรา นึกโกรธแล้วซินั่นแหละ นิวรณ์ ตัวที่ 2เข้ามาแล้ว ยิ่งช่วงเป็นหนุ่ม-สาวด้วยแล้ว มีเยอะ หลับตาภาวนาปุบ มาเลย คนนั้นมาจีบเรา คนนั้นเราหลงรักเขา อย่างเนี่ยแล้วทำให้จิตเรากระเจิดกระเจิงวุ่นไปหมด นี่คือ นิวรณ์ ตัวที่ 1. ครับ ถ้าเราจำได้ว่าตัวที่มันมานั่นตรงกับ นิวรณ์ ตัวไหน นั่นคือเท่ากับเรารู้ทันมันแล้ว ให้กำหนดรู้ว่ารู้หนอ รู้หนอรู้หนอๆๆๆๆๆ ไม่นานมันจะหายไปเอง แล้วกลับมาภาวนา พุท-โธ ตามเติม ไม่ต้องกลัวมัน จำให้แม่นว่าตัวที่มานั่นมันตรงกับ นิวรณ์ตัวไหนเท่านั้นเอง เราก็ชนะมันแล้ว พระพุทธเจ้าท่านรู้แล้วจึงเอามาสั่งสอนเรา เมื่อเราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน เราก็สำเร็จได้ไม่ยากจริงไหมครับ เมื่อมีถนนเราก็เดินทางถึงจุดหมายได้ตามประสงค์ แต่พาหนะมีให้เลือกได้เยอะ เช่นรถไฟ เรือเมล์ เครื่องบิน จักรยานยนต์ ฯลฯ จะไปทางไหนก็เหมือนกัน เมื่อถึงปลายทางมันก็ที่เดียวกันครับ แต่การเดินทางต่างกัน บางอย่างเร็วมาก บางอย่างช้ามาก บางอย่างอันตราย เราก็ต้องเลือกใช้พาหนะให้ถูกใจเรา จริงไหมครับ เส้นทางของกรรมฐาน มีตั้ง 40 ทาง จริตเราชอบทางไหนก็เดินทางนั้น
ท่านผู้ใหญ่หลายๆท่านบอกว่า ปฏิบัติไม่ได้เลยใจมันวุ่นวายไปหมด ห่วงโน่นห่วงนี่ เรื่องลูกเรื่องหลานสารพัด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้จักนิวรณ์ 5 นั่นเอง และท่านที่พูดว่ายังทำไม่ได้หรอก ที่จริงๆทำได้แต่ไม่ทำ นั่นแหละเจอนิวรณ์ 5 ตัวที่ว่า ลังเล สงสัย เชื่อ ไม่เชื่อ ครับ ประเภทนี้ตัวนิวรณ์ หรือพญามารมาผจญเสียแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ จึงกลายเป็นคนที่เสมือนดอกบัว 4 เหล่า ของพระพุทธเจ้า และท่านผู้นั้น ก็คือ ดอกที่ยังจมอยู่ในโคลนตม ยังไงๆก็ยากที่จะโผล่มาพ้นน้ำได้ คนประเภทนี้แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ยอมสาธยายพระธรรมให้ฟัง
เมื่อได้ดำเนินการปฏิบัติไปจนถึงเวลากำหนดแล้ว ก็อธิษฐานจิตออกจากสมาธิ ในระหว่างปฏิบัติ กรรมฐาน ถ้ามันเกิดขัดข้องสงสัยอะไรๆที่มันเกิดขึ้น อย่าเก็บเอาไว้ ไม่งั้นมันก็อยู่ในนิวรณ์ ตัวที่ 5 แหละต้องขอสอบอารมณ์กับอาจารย์ มีศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว สอบอารมณ์ ใช้สำหรับกรรมฐานโดยเฉพาะ เป็นการไตร่ถามข้อสงสัยจากผลการปฏิบัติกรรมฐาน จากอาจารย์ หรือผู้รู้ จะได้อธิบายให้เข้าใจ

การปฏิบัติกรรมฐานจะให้บรรลุผลสำเร็จ จะต้องดำเนินไปตามขั้นตอน คือบันใด 3 ขั้น
1. ศีล
2. สมาธิ
3. ปัญญา
ผู้ที่จะปฏิบัติกรรมฐานจำเป็นอย่างยิ่งต้องมี ศีล เป็นบันใดขั้นที่หนึ่ง อย่างน้อยต้องศีล 5 คือมีศีล 5 อยู่ในตัวเสมอ ไม่ใช่ผู้ถือศีล การถือศีลเป็นการบังคับให้ปฏิบัติ ไม่ให้ทำเลยจริงไหม ส่วนสัตว์เล็กสัตว์น้อยเช่น ยุง,มด,แมลงต่างๆนั่น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็นสัตว์ประเภทสามัญ ไม่ถือว่าละเมิดศีล เพียงแค่บงอาบัติก็หาย (สารภาพผิด ) ต้องไปดูบนกุฏิ เมื่อพระฉันข้าวเช้าเสร็จก็จะ บงอาบัติ คือบอกกับพระผู้มีอาวุโสกว่า ว่าวันกับคืนที่ผ่านมาได้กระทำการละเมิดศีล ( ผิดศีล ) ข้อไหนบ้าง เมื่อพระผู้ใหญ่กว่ารับรู้แล้วบาปนั้นก็หายไป ข้อนี้ตรงกันกับของคริสต์ศาสนา เมื่อยังเด็กไปเข้าโบสถ์ฝรั่งบ่อยๆ หลวงพ่อจะพูดเสมอๆว่าลูกๆทั้งหลาย มีใครทำผิดอะไรมาบ้าง ถ้ามีก็จงมาสารภาพผิดเสียนะ แล้วลูกก็จะพ้นบาป
แต่พระสงฆ์ของพุทธศาสนาไม่ยอมบอกความจริงแก่ฆราวาส บอกแต่ว่าใครทำบาปต้องไปทำบุญถ่ายบาป เอ๊าไปกันใหญ่หันมาพูดเรื่องศีลตามเดิมเถอะ ฟรี 4 ข้อแล้ว เหลือข้อเดียว มุสาวาทฯ ข้อนี้แหละทำใจลำบาก มันไม่ใช่พูดเท็จอย่างเดียว เยอะแยะเลย เช่นพูดสอดเสียด,พูดแล้วทำให้คนอื่นหรือกระทั้งตัวเองเดือดร้อน,พูดแล้วทำให้หมู่คณะแตกแยกฯลฯ ต้องพยายามทำให้ได้ครับ ถ้าผ่านแค่ศีล 5 ไม่ได้ก็อย่างหวังเลยว่าจะถึงเป้าหมาย ท่านเชื่อไหมว่าคนที่มีศีลครบอยู่ในตัวเนี่ย ยุงก็ไม่กัดครับ นอกจากยุงเกเรอันธพาล มันไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรหรอก สัตว์ทุกชนิดเหมือนกันหมด มีดีไม่ดีแบบเดียวกันทั้งจักรภพ วันหนึ่งเมื่อยังเด็กๆนั่งดูนกกระจาบทำรังบนต้นไทรหน้าบ้านหลายสิบรังเลยนะ มีคู่หนึ่งคอยขโมยหญ้าพง ข้างๆรังของเพื่อน เอาไปสานใส่รังตัว มันรอให้เพื่อนบินไปเอาใบพงที่ริมบึง คราบบินมาเสียบไว้ข้างๆรังก่อน คงตั้งใจไปเอาพงมามากๆก่อนค่อยสานทำรังทีหลัง พอเจ้าของบินไปเอาหญ้าพงริมบึง อยู่ทางนี้เจ้าสองผัวเมียขี้ขโมยก็บินไปคราบ
หญ้าพงของเพื่อนมาทำรังตัวเอง ผมดูอยู่เป็นนาน เจ้าของมันคงนึกรู้ ก็ฉลาดพอควร มันบินไปทั้งสองตัวผัวเมียอีก คราวนี้พอพ้นต้นไทรก็วนกลับทันที (สุดยอด ) จับได้คาตามันเลย บินเข้าใส่เจ้าหัวขโมยทั้งจิกทั้งตีตกลงมาถึงพื้นดินเลยฝุ่นกลบเลย เล่นเอา ผมหัวเราะจนน้ำตาไหล ที่จริงผมจะบอกเจ้าของมันนะ แต่ไม่รู้จะสื่อภาษาอย่างไรให้มันเข้าใจ เรื่องจริงครับ ดังนั้นขอจงอย่างเชื่อใจคนผู้ใกล้ชิดจนเกินควรนะครับ
มาพูดเรื่องกรรมฐานกันต่อดีกว่า ขอบอกไว้ก่อนนะอย่าเก็บเอาไปเป็นอุปทาน จงปล่อยจิตให้ว่างจริงๆอย่าได้ไปบังคับมันให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้หรือไม่ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะเข้านิวรณ์ข้อที่ว่าฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ เชื่อ ไม่เชื่อ ลังเร สงสัย ปล่อยให้มันเป็นไปของมันเองตามธรรมชาติเหมือนเราปลูกกุหลาบ จะให้มันออกดอกโดยทันทีทันใดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เราเพียงทำหน้าที่รดน้ำพวนดินเท่านั้น ถึงเวลาดอกมันจะออกของมันเอง กรรมฐานก็เช่นกัน อะไรมันจะเกิดมันก็เกิดของมันเอง ตัวเราเพียงบำเพ็ญเพียรภาวนาคำว่า พุท-โธ ๆๆไปเรื่อยๆกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออกตั้งสติไว้ที่ช่องทางลม ( อย่าติดตามลม ) อยู่ตรงรูจมูกเท่านั้น
จะขอเล่าผลการปฏิบัติให้ทราบพอสังเขป เมื่อแรกๆจิตกำลังจะสงบ มันก็คล้ายๆกับฝูงผึ้งที่บินอยู่รอบๆรัง นั่นคือ ดวงวิญญาณทั้ง 89 ดวง เริ่มกลับเข้ามาหาร่างกาย จิตเราเริ่มเกิดความปีติ (เกิดสุข) อธิบายด้วยวาจาไม่ถูก เหมือนคนไม่เคยกินเกลือ เราจะหาคำพูดว่าอาการเค็มมันเป็นอย่างไร คนฟังก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี มันอิ่มเอิบ ซึ่งไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้ และเมื่อจิตมันสงบละเอียดมากกว่านั้นอีก ปกติดวงตาของเราเวลาหลับมันจะเป็นสีดำมืด แต่ดวงตาที่หลับอยู่ในกรรมฐานขณะจิตสงบละเอียดเราจะเริ่มเห็นเป็นสีขาวเหมือนๆจอโทรทัศน์ที่เปิดสวิทไฟแต่ไม่มีภาพ ขาวเหมือนกับเต็มท้องฟ้าไปหมด แหละเมื่อเราภาวนาไปเรื่อยๆจิตมันก็ละเอียดขึ้นอีก เราสามารถ เราสามารถบังครับให้แสงขาวๆนั้นเล็กลงๆๆๆๆจนเล็กของเล็กๆๆ ดุจเดียวกันกับที่เราใช้แว่นขยายส่องแสงแดดแล้วยกขึ้นยกลง ทำให้มันรวมเป็นจุดเล็กๆๆ หรือยกขึ้นทำให้มันใหญ่ขึ้นได้ตามใจเรา เหมือนกันเลยครับ จงสังเกตนะขณะที่เรากำลังเล่นกับแสงนั้นเพลินๆอยู่ เผอิญมีรถยนต์หรือเสียอะไรดังๆทำให้เราตกใจ จิตของเราจะเหมือนแกว่งและวูบลง สิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่นั้นจะขยายโตกว่าเดิมทันทีให้กำหนดรู้ไว้แล้วภาวนาต่อไปไม่นานจิตก็ละเอียดและสามารถบังคับได้ใหม่อีก ถ้าจิตเราสงบแน่นิ่งๆสิ่งที่เห็นจะคงที่ตลอด ในช่วงนี้จะมีความรู้สึกว่าร่างกายไม่มี มีแต่ความรู้สึก และสิ่งที่เห็นมันเห็นรอบทิศทาง (360 องศา ) ไม่มีด้านหน้าด้านข้างด้านหลัง เราอย่าไปติดอยู่แค่ตรงนั้น กำหนดรู้ในใจว่ารู้หนอๆๆๆๆๆๆแล้วภาวนาต่อไป
เมื่อเราปฏิบัติจนจิตละเอียดสงบขึ้นอีก แสงสีขาวๆจะจะเกิดสีดุจดังกลุ่มหมอกควันของเพชรนิลจินดา สวยงามมาก และพาเราท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่มีร่างครับมีแต่ความรู้สึกกับเห็น อย่าหยุดเพลิดเพลินอยู่ตรงนั้นนะ มันจะไม่ก้าวหน้า ปล่อยไปตามเรื่องของมันแล้วแต่ว่ามันจะพาเราไปไหน และไม่ต้องเกรงว่าจะกลับเข้าร่างไม่ได้จะไปไกลแสนไกลเพียงใดก็ตาม เพียงเรากำหนดจิตกลับร่าง ทุกอย่างก็คืนสภาพเดิมแล้ว ง่ายกว่าปลุกคนนอนหลับให้ตื่นอีกครับ
ขั้นตอนต่อไปนี้จะพูดถึงผลการปฏิบัติกรมฐานจนจิตของเราสงบละเอียดมากขึ้นๆจนถึงชั้นปฐมญาณ (เขาเรียกฌานชั้น สี่ ) จะเกิด นิมิต เป็นภาพต่างแล้วแต่จิตจะปรุงแต่ง เห็นได้ชัดแจ๋วแจ่มกว่าภาพในโทรทัศน์สีที่ดีๆเสียอีก เราเองไม่มีตัวตน มีแต่ความรู้สึกและเห็น และเห็นได้รอบทิศทางเหมือนแสงเทียนที่สว่างรอบตัวมันนั่นแหละ ขอบอกไว้ก่อนนะท่านอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่า ภาพในนิมิตที่เห็นนั่นไม่ใช่ของจริง แต่ที่เห็นนั้นเห็นจริง เหมือนเราดูภาพยนต์ ดูโทรทัศน์ แบบเดียวกันเห็นจริงแต่ไม่ใช่ของจริง ภาพนั้นอาจจะในอดีตหรือในอนาคตก็ได้ หรือจิตปรุงแต่งขึ้นก็ได้ จึงอย่าไปยึดมั่นถือมั่นติดมันอยู่ตรงนั้น จะทำให้กรรมฐานของเราไม่ก้าวหน้า เชิญท่านชมนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐานของผม เลือกเอามานำเสนอให้ชมเพียงสองเรื่องก็พอแล้ว ผมพิมพ์ไม่เก่ง อยากให้ท่านทำความเพียรเอาเอง วันนั้นหลังจากนั่งหลับตาภาวนา พุท-โธผ่านไปไดสัก 5 นาที กว่าๆ จิตก็เริ่มสงบลงๆละเอียดมากขึ้นๆตาที่หลับปิดสนิทดำมืดทันทีแสงสว่างก็เกิดขึ้นฉับพันธ์ เห็นตัวเองนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่หาดทรายชายทะเลที่นั้นตังเองไม่เคยไปเห็นมาก่อนนั่งสักคู่น้ำทะเลก็เริ่มเอ่อขึ้นๆมันสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนท่วมตัวผมเลยถึงไหล่ก็ยังไม่หยุดสูงขึ้นๆจะถึงจมูกอยู่แล้ว ผมต้องแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้หายใจได้ นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อชาหรือหลวงปู่แหวนเนี่ยะจำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าเมื่อกำลังปฏิบัติกรรมฐานไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น อะไรจะเกิดก็ให้เกิดจงอย่าลืมตาเด็ดขาด ขอเพียงให้ภาวนาไว้ (พุท-โธ ) ผมปฏิบัติตามนั้นไม่หยุด
ทันใดนั้นเองคลื่นลูกใหญ่ชัดเข้ามาเต็มหน้าเลย ผมผงะเงยหน้าสุดๆ มีความรู้สึกว่าสิ่งที่เรานั่งมันอ่อนนุ่มๆยุบไปยุบมาและโคลงเคลงเหมือนอยู่บนเปล ในนิมิตเห็นน้ำทะเทเลกว้างใหญ่ไพศาล ผมนั่งอิงพิงหมอนขวาน (หมอนสามเหลี่ยม ) สำรวจดูตัวเองไม่มีเสื้อ แต่มีเครื่องเพชรนิลจินดาประดับแพรวพราวสวยงามมาก แสงแดดเจิดจ้า สงสัยเราทำไมไม่ร้อน เงยหน้าขึ้นดูข้างบนผมสะดุ่งเฮือก ก็ข้างบนมีแต่หัวพญานาคเต็มไปหมดยั้วเยี้ยเลยครับ ผมไม่กล้านับว่ามีกี่หัว พอสติกลับคืนดีแล้ว จึงพิจารณาว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แล้วก็คิดได้ว่าบุคคลที่อยู่ในกลางทะเลหรือมหาสมุทรและมีพญานาคเป็นที่ประทับก็มีคนเดียวคือพระนารายณ์ ซึ่งเป็นเสมือนทหารเอกของพระศิวะ ( ที่เขาเรียกว่านารายณ์บรรทมสิน ) ความคิดใหม่เกิดขึ้นอีก เอะ นี่เราคืนพระนารายณ์ รึความภูมิใจสุดๆเลย ความคิดไปไกลอีก แล้วพระนางลักษมีเล่าหายไปไหน (เมียพระนารายณ์ ) จิตคิดสู่สมกับพระนางลักษมีขึ้นมาทันที นี่แหละจิตตกอยู่ในนิวรณ์ 5 ข้อที่ 1(ที่ว่าด้วยเรื่องกามารมณ์)นิมิต ดับวูบเหมือน โทรทัศน์ ถูกปิดสวิทไฟจอขาวปกติเลยครับ ถ้าไม่ไปคิดอย่างนั้นกับพระนางลักษมี นิมิตก็คงจะอยู่ฌานอีกนาน จริงๆนะนิวรณ์ 5 นี่ต้องตัดมันให้ได้ ไม่งั้นจะไม่มีทางสำเร็จแน่ๆ จากนี้เป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่สุดของผม ที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐาน เหตุการณ์นี้เมื่อประมาณปี พ.ศ.2527หรือ2528 นี่แหละ จำไม่ค่อยได้ คืนนั้นผมอ่านหนังสือ ม.ส.ธ.ซึ่งกำลังเรียนคณะนิเทศศาสตร์ หลัง 23.00นาฬิกา ก็เข้านอน แต่ก่อนนอนจะปฏิบัติกรรมฐานเป็นประจำอยู่แล้วทุกคืน หลังจากนั้นก็เข้านอน ผมเป็นคนหลับง่าย คิดว่าประมาณเที่ยงคืน ( 24.00 น. ) ก็ฝันว่าตัวเองกำลังนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่ใต้ต้นทองกวาว ริมขอบสระน้ำ ร่มรื่นมาก และสถานที่นั้นก็รู่ว่าอยู่ตรงไหน เพราะไปยืนชมฝูงปลาปล่อยๆ ในฝันปรากฏว่ามี แสงสีสดสวยเหมือนเพชรนิลจินดาพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ที่ผมนั่งอยู่นั่น ไม่มีความร้อนดุจดังนั่งบนกองเพลิง ทันใดนั้นเองก็ปรากฏมีบุรุษผู้หนึ่ง ร่างกายใหญ่ดำทมิฬ ในมือถือกระบองยืนอย่างองอาจขยับแกว่งไปแกว่งมาแล้วยกมืออีกข้างชี้มาทีผมพร้อมกับส่งเสียงอย่างดังว่า เฮ้ย ! ผมสะดุ้งเล็กน้อย เหลียวดูมัน “ออกไปให้พ้นจากตรงนั้นนะ มานั่งทับสมบัติกู ถ้าไม่ลุกกูตีมึงตายแน่ (มันใช้คำพูดสมัยพ่อขุนราม ฯ )มันไม่ใช่พูดเฉยๆครับ มันย่างสามขุมพร้อมกับยกกระบองอันเบ้อเล่อปี่เข้าหาผมทำให้ผมตกใจสะดุ่งตื่นเลย ผมนอนพิจารณาทบทวนเหตุการณ์ที่ฝัน และแล้วผมก็ตัดสินใจ ก็เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเพื่อทดสอบการปฏิบัติกรรมฐาน จึงลุกขึ้นนั่งแล้วอธิษฐานจิตเข้าปฏิบัติกรรมฐานทันที โดยขอให้เหตุการณ์ในฝันเกิดนิมิตต่อจากที่ฝัน แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออก พุธ-โท ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 5 นาที จิตสงบนิ่งเกิดภาพนิมิตต่อเนื่องในความฝันทันที คราวนี้ไม่ใช่หลับเพราะเด็กวัยรุ่นกลับจากไปเที่ยวและคุยกันมาได้ยินชัดหมด
เห็นตัวเองนั่งอยู่ในเปลวแสงสีระยิบระยับสวยงามมาก ไอ้ดำร่างกายสูงใหญ่ก็ยังถือกระบองคุมเชิงอยู่ข้างหน้า เมื่อพิจารณาก็มั่นใจว่านิมิตต่อเนื่องจากความฝันแน่ ก็นึกถึงคำพูดของหลวงปู่แหวน ว่า นิมิตไม่ใช่ของจริง แต่ที่เห็นนั้นเห็นจริงอย่าลืมตาเป็นอันขาด ให้ ภาวนาไว้ ไม่ต้องกลัว จึงทำตามหลวงปู่ว่าตลอด ฝ่ายไอ้ดำก็ขู่อยู่นั่นแหละ ถ้าไม่ลุกจากขุมทรัพย์มันๆจะตี พูดเฉยๆชะเมื่อไร เดินปี่เข้ามาด้วย ทำท่าจะเล่นงานเราจริง ก็เลยต้องลุกขึ้นจากที่นั่ง ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะลุก มันก็ชี้มือไปอีกด้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆกันแหละห่างกันประมาณ 5 เมตร เสียงมันดังมากว่า “นั่นสมบัติมึงอยู่หลุมโน้น (ชี้มือบอกด้วย ) หลุมนั้นของกู “
ผมลุกขึ้นยืนถอยออกมายืนห่างๆ มองตามทิศทางที่มันชี้นิ้วบอกว่าสมบัติของเราอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นแล้วก็เกิดเวทนาตัวเอง เพราะแสงสีที่พุ่งขึ้นมามีเพียงรำไรๆ ผมเอามือลูบแขนเล่นแก้เขิน ผมตกใจจริงๆ แต่สติยังมั่นคงอยู่ ก็ผิวหนังที่แขนเป็นตุ่มเป็นหนามคล้ายผิวมะกูด จะลูบไปตรงไหนๆก็เหมือนกันหมด ขนลุกซู่ซ่าทั้งตัว ลองเอามือลูบศีรษะ ท่านเชื่อมั้ยครับ เส้นผมแข็งชี้ทั้งหัวประดุจดังขนเม่น ผมไม่สนใจเรื่องเนื้อตัวและเส้นผม แต่ผมอยากทราบว่าอะไรที่อยู่ใต้ดินเกิดแสงลุกดังเปลวเพชรนั่น จึงลองทดสอบพลังจิตดูว่าจะทำได้ไหม ผมไม่สนใจไอ้ดำทมิฬนั่นแล้ว เพราะนึกถึงคำสอนของหลวงปู่แหวน ว่าขณะเมื่ออยู่ในฌาน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรๆก็ทำอันตรายเราไม่ได้ถ้าจิตเรามั่นอยู่ ไอ้ดำมันยืนดูนิ่งเหมือนยักษ์หิน เมื่อผมหาที่นั่งได้เรียบร้อยก็อธิษฐานจิตเพ่งกระสิน (เจริญกรรมฐานด้วยการลืมตาเพ่งไปจุดที่เป็นเป้าหมาย อย่างเช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ กระแสน้ำ เปลวเทียน ฯ ) ผมมุ่งเพ่งไปที่หลุมสมบัติไอ้ดำก่อน ใช้พลังจิตเพ่งเพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุใต้ดินขึ้นมา ชั่วคู่เดียวพื้นดินตรงนั้นค่อยๆแตกและสูงขึ้นๆ (เหมือนดูหนังผีที่โลงมันกำลังจะโผล่ขึ้นจากหลุมฝังนั่นแหละ ) ค่อยๆโผล่ขึ้นมาทีละน้อยๆช้าๆจนพ้นผิวดิน ไอ้ดำยืนดูเฉยๆมันไม่แสดงทีท่าอะไรเลย แต่ผมซิรู้สึกตื่นเต้นมาก ลุกขึ้นเดินเข้าไปสำรวจดูอยากเห็นว่ามันมีอะไรข้างใน ลืมบอกว่าสิ่งที่ขึ้นมาจากหลุมใต้ดินนั้น เป็นหีบเหล็กโบราณและถูกล๊อคด้วยกุญแจโบราณอย่างดีเหมือนกัน แสงสีพวยพุ่งมากกว่าอยู่ใต้ดินเยอะเลยครับ ผมอยากรู้ว่าภายในหีบนั้นจะมีอะไรกันแน่ ขณะนั้นไม่ได้คิดกลัวไอ้ดำอีกแล้ว คิดว่ามันทำอะไรเราไม่ได้ก็เลยได้ใจหาไม้มางัด เอาก้อนหินมาทุบ กุญแจไม่หลุด หีบก็ไม่เปิด ลืมไปว่าทำไมไม่ใช่เพ่งกระสิน เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงนั่งลง ส่งสายตามองไปที่ฝาหีบแล้วภาวนาต่อไป เพียงชั่วคู่ฝาหีบก็ระเบิดขึ้นมา ทันใดนั้นเองประดุจดังเปลวเพลิงแสงเพชรนิลจินดาก็พวงพุ่งขึ้นยังกระภูเขาไฟระเบิด ผมลุกขึ้นเดินไปชะโงกดูทรัพย์สมบัติในหีบนั้น มันเกือบเต็ม มันเหมือนในหนังเรื่องตะเกียงกายสิทธิ์ ที่ชมตั้งแต่ยังเด็กๆนั่นแหละครับ ท่านเชื่อไหมในใจไม่คิดอยากได้มันมาเป็นของเราเลย นิมิต ถึงได้ดำเนินการติดต่อกันไปได้เรื่อยๆ หลังจากนั้นก็นึกถึงของตัวเองตามตำแหน่งที่ไอ้ดำมันบอก ( ที่จริงไม่ทราบว่ามันชื่ออะไรหรอก ผมเรียกไปตามรูปพรรณสันฐานของมัน ) ผมนั่งลงใหม่ คราวนี้ไม่ยากแล้ว ดำเนินการตามที่แล้วมาไม่นาน พอฝาหีบของผมเปิดออก ก็ลุกขึ้นไปดู พอเห็นนึกสงสารตัวเอง โถ ! วาสนาช่างน้อยเหลือเกิน รำพึงอยู่ในใจ มีแก้วแหวนเงินทองเครื่องประดับกองอยู่ก้นหีบสูงสักฝ่ามือตะแคงๆได้มั้ง แสงที่มันพุ่งขึ้นมามีพอๆกับเตาไฟที่ก่อใหม่ๆแววๆวาวๆเท่านั้น แต่ไม่ได้นึกเสียใจหรือน้อยใจนะ ผมหันไปดูไอ้ดำ หน้าตามันบ่งบอกถึงความเย้ยหยัน มันแสยะยิ้มเยาะเย้ยโคลงศีรษะไปมา วางท่าภูมิฐาน คล้ายจะบอกของมันมากกว่าเราเยอะ
ขณะนั้นเสียงนาฬิกาตีดัง 2 ครั้ง ผมเอามือคลำดูตามร่างกาย ปรากฏว่าผิวหนังจางหายจากตุ่มหนามไปมากแล้ว และเส้นผมก็อ่อนลงเยอะแล้วแต่ก็ยังมีแข็งชี้ยู่บ้าง จึงอธิษฐานจิตออกจากกรรมฐาน เมื่อปกติดีแล้วจึงปลุกภรรยา ซึ่งหลับอยู่อย่างสบายใกล้ๆนั่นแหละ เมื่อเขาตื่นแล้วก็บอกให้คลำตัวดูหน่อยซิ “เป็นอาไรหรือ” เถอะน่า พอภรรยาคลำแขนคลำตัวเขาก็ตกใจรีบถามทันที เป็นอาไรๆๆๆๆ” ลุกขึ้นสำรวจร่างกายผม ทำไมเส้นผมชี้อย่างนี้เล่า ผมบอกว่า “ปฏิบัติกรรมฐานแล้วเล่นกับนิมิตเพลินไป ไม่ต้องตกใจไม่เป็นอะไรหร็อก แล้วจะเล่าให้ฟังตอนเช้า ”หลังจากนั้นก็นอนต่อจนสว่างแล้วก็เล่าเหตุการณ์ใน นิมิต ให้ภรรยาฟังขณะที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ไปปฏิบัติราชการตามปกติ
ถึงที่ทำงานเนื้อตัวยังเป็นตุ่มเหมือนอาการหนาวมากๆนั่นแหละครับ เส้นขนก็ยังลุกซู่ๆซ่าๆเป็นบางช่วง มีความสงสัยว่านิมิตครั้งนั้นไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา จึงอยากสอบอารมณ์กับท่านผู้มี ญาณเหนือกว่า ก็ยังไม่ทราบว่าจะมีใครที่ไหน ฉับพันธ์ก็คิดถึง พระเดชพระคุณเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่วัดท้ายตลาด ถนนสำราญรื่น ต.ท่าอิฐ อ. เมือง จ. อุตรดิตถ์ เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติกรรมฐานจนเชี่ยวชาญ ก็คิดว่าหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ จะต้องไปรบกวนขอสอบอารมณ์กับท่านให้ได้หายสงสัยแน่ๆ ขณะที่กำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น เผอิญคุณมหาจะนะ(สมัยก่อนบวชเรียนนักธรรมและบาลี จนสอบได้มหา เขาเรียกมหา เป็นคำนำหน้านาม ) เดินเข้ามาหาผมพอดี เขาเป็นพนักงานเก็บเงินค่าขยะของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ที่มาหาผมก็เพราะผมทำหน้าที่จ่ายเงินค่าขยะของบ้านพักข้าราชการประจำเดือนทุกๆเดือนจึงคุ้นเคยกันมาก เมื่อแล้วเสร็จจากงานหลวง ก็จะสนทนาธรรมกันตามปกติเสมอมา วันนั้นมีเรื่องพิเศษที่แจ้งแล้วเบื้องต้น จึงขอสอบอารมณ์กับมหาจะนะ พอผมเล่าเรื่องในนิมิตให้ฟังจบ มหาจะนะบอกทันทีว่า คุณพี่ครับ เกือบไปแล้วซิ นี่ถ้าพี่มีตัวโลภะอยู่ก็คงไปขุดดินอยู่ที่ตรงนั้นแล้วระมั้งครับ จงหายสงสัยได้แล้ว พี่โดนพญามารตัวโลภะ มาทดสอบจิตว่ายังมีความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก (กิเลส ) อยู่ในจิตอีกไหมนี่แสดงว่าพี่ตัดกิเลสตัวโลภะได้แล้ว ที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น ไอ้ตัวร้ายคือความอยาก ดีแล้วนะไม่งั้นเสร็จมัน ต้องไปเที่ยวขุดหาสมบัติเป็นบ้าอยู่ที่ขอบสระนั่นแหละ ว่าแล้วมหาจะนะก็จัดแจงเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าเตรียมกลับเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ผมต้องรีบขอร้องว่าเดี๋ยวก่อนๆยังมีอีกเรื่องที่สงสัย มหาจะนะจึงนั่งลงใหม่ แล้วผมก็พูดถึงเรื่องเนื้อตัวเกิดขนลุกพองเป็นผิวมะกรูด นี่มันเกิดจากอะไรกัน มหาจะนะเอามือคลำแขนผมแล้วบอกว่ามันเป็นเรื่องของกรรมฐาน ผู้ที่สำเร็จถึงฌานชั้น 4 (ปฐมฌาน ) ก็จะเจอเหตุการณ์อย่างนี้แหละครับ ผมเองไม่เคยมีประสบการณ์ เพียงแต่รู้จากการเล่าเรียน ไม่ใช่นักปฏิบัติ ผมนักปริยัติ (ปริยัติ คือการเล่าเรียนตามตำรา ส่วนปฏิบัติคือนักทำความเพียรปฏิบัติกรรมฐาน ) นักเรียนก็เพียงแต่รู้ เช่นรู้ว่าเกลือเค็ม แต่ไม่รู้ว่ารสมันเค็มเป็นอย่างไร แต่นักปฏิบัติจะรู้ทั้งรูปและทั้งรส คงเข้าใจนะ แล้วก็รีบเดินออกจากห้องไป เหมือนกับว่ามีคนที่รู้ใจคอยอยู่
เฮ้อ ! โล่งอกไปที ถ้าไม่ได้คุณมหาจะนะก็คงต้องไปรบกวนถามพระ นี่แหละคือการสอบอารมณ์ ถ้าขัดข้องสงสัยสิ่งใด จะละเว้นปล่อยปะละเลยไม่ได้ ต้องหาคำตอบให้ได้ ไม่งั้นการปฏิบัติกรรมฐานจะไม่ก้าวหน้า ดังนั้นท่านอย่างมัวลังเล อย่างปล่อยให้เวลามันล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกอิริยาบท ปฏิบัติได้ทั้งนั้น จะทำให้เรามีสติรอบคอบดีอยู่เสมอ ความสุขที่แท้จริงก็จะเป็นของเรา จิตเราก็จะสะอาดปราศจากกิเลสใดใดมาพัวพันธ์ให้มัวหมอง ยามตื่นก็มีความสุข ยามหลับก็ไม่ฝันร้าย เมื่อยามตายประตูนรกก็ไม่เปิดรับ ขอเพียงท่านปฏิบัติกรรมฐานเพียงให้จิตสงบแค่งูตวัดลิ้น หรือแค่ช้างสะบัดหู ก็เพียงพอแล้ว
ที่สุดนี้ สมควรแก่เวลา จึงขอยุติการสาธยายธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะได้รับใช้กันใหม่ ถ้าส่วนใดขาดตกบกพร่องหรือไปทำให้สะเทือนอารมณ์ ขอได้โปรดให้อภัยแด่กระผมด้วย เพราะไม่สันทัดในการใช้อักขระและอักษรตลอดจนใช้ถ้อยคำทางด้านธรรมะ แล้วพบกันใหม่ ขอให้ท่านจงประสบสุขสมหวังในสิ่งที่มุ่งหมายในปรารถนาจงทุกประการเทอญ…………
สวัสดี
(นายอนันต์ หลวงกิจจา )




 
18 ต.ค. 2557   8:31:43 PM   IP : 49.48.178.10
หากคุณเป็นเจ้าของข้อความนี้ คลิก เข้าสู่ระบบ และกลับมาแก้ไขข้อความได้

ดูดวงกับอาจารย์บังนันต์ เลข7ตัวแบบพิสดาร ไม่เหมือนใคร โทรติดต่อที่ 086-2092436

14 คำถามดูดวง ที่ตอบล่าสุด
  • รบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 11/1/2559 17:47:14 เวลา 17:47:14 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 9:57:02 น.
  • ทำงานนายหน้าค้าที่ดินจะสำเร็จไหมในปี 2557-2558 ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 9:40:09 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 11:07:27 น.
  • ความรักบ้านบางปูช่วยดูให้ด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 11:20:04 น.
  • รบกวนอ.บังนันต์ช่วยดูด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 8/2/2559 10:17:37 เวลา 10:17:37 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 17 ต.ค. 2557 เวลา 15:04:47 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 13/9/2562 13:58:26 เวลา 13:58:26 น.
  • มีเกณฑ์จะได้ย้ายบ้านใหม่เมื่อไหร่ครับ ? อีกกี่ปีครับผม ? ตอบเมื่อ 17 ต.ค. 2557 เวลา 14:54:11 น.
  • เมื่อไหร่หมดกรรม   ขอความเมตตาตาจากอ.บังนันต์ ตอบเมื่อ 18 ต.ค. 2557 เวลา 20:31:43 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 20 ต.ค. 2557 เวลา 11:13:28 น.
  • การเงินตุลาคมถึงธันวาคม/57 ตอบเมื่อ 10 พ.ย. 2557 เวลา 12:27:29 น.
  • การเงินตุลาคมถึงธันวาคม/57 ตอบเมื่อ 10 พ.ย. 2557 เวลา 12:21:47 น.
  • การเงินตุลาคมถึงธันวาคม/57 ตอบเมื่อ 24 ต.ค. 2557 เวลา 9:19:34 น.
  • ดูคำถามดูดวงที่เคยตอบแล้วทั้งหมด




    คุณหนู จ๊ะเอ๋

    ตามชันษากิดวันพุธที่ 7 กันยายน 2503 ปีชวด เป็นคนธาตุน้ำ

    ปัจจุบันมีอายุ ย่าง55 ปีแล้ว ดวงชะตากำลังจะเจริญรุ่งเรืองถึงตั้งหลักฐานได้มั่นคง

    เรื่องที่เกิดนั้นมันเป็นวิบากกรรม เมื่อหมดเวรกรรมกันมันก็หายไปเอง ถ้าจะให้หมดเร็ว ๆ ก็ต้องล้างด้วยกรรมฐาน จะให้หลักการปฏิบัติมาพร้อมนี้ ให้อ่านทุกตัวอักษร นะครับ ดังนี้

    วิชาภาคปฏิบัติกรรมฐาน
    เผยแพร่เป็นวิทยาทานผ่านเว็บ goosiam.com
    โดยอาจารย์ บังนันต์ เมืองตูล
    ข้อเท็จจริงจากใจ
    กระผมมิได้มีเจตนา ที่จะตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ใดใดทั้งสิ้น ด้วยเกิดจากแรงบันดาลใจที่อยากจะให้บทความนี้ เกิดประโยชน์ต่อผู้มีใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติกรรมฐาน มันเป็นการชำระล้างจิตและวิญญาณของตัวเองให้สะอาดสดใส โดยปราศจากกิเลสใดใดมาทำให้ม่นหมอง เพื่อบั่นปลายชีวิต เมื่อถึงคราวสิ้นชีพเปลี่ยนภพใหม่ จะได้มีความสุขดังใจปารถนาสมดังที่สร้างกรรมดีไว้ ร่างกายนั้นใครๆก็ทราบกันมาแต่เด็กแล้ว ว่าทำอย่างไรจึงจะสะอาด ทุกคนตามปกติต้อง อาบน้ำ สองครั้งต่อวันอยู่แล้ว แต่จิต นี่ซิน้อยคนนักที่จะคิดถึงมัน วันหนึ่งๆคิดทั้งดีทั้งร้ายไม่รู้เท่าไร นั่นแหละกิเลสเกาะเต็มไปหมด คนส่วนใหญ่ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยชำละล้างจิตของตัวเองให้สะอาดเลย อาจจะไม่ทราบหรือมุ่งแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องวัดเรื่องวานี่ไม่ต้องถาม นอกจากไปเผาศพเท่านั้น ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ถ้าหากไปกระทบกระเทือนใจคนบางท่านเข้า
    ตัวกระผมเองเปรียบเสมือนหิงห้อยน้อยๆ ที่มีแสงสว่างในตัวเองพอสวยงามเพียงเล็กน้อย แต่มีจิตต้องประสงค์เผื่อแผ่รัศมีของตัวเองให้เพื่อนร่วมโลก อันได้แก่ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ได้เป็นแนวทางปฏิบัติตามบทความนี้ ถ้าท่านมีบารมีและดำเนินการให้ถูกขั้นตอนตามที่จะชี้แนะ และหมั่นเพียรปฏิบัติอย่าหยุด แล้วท่านจะต้องได้พบแสงสว่างแห่งความจริง ความสุขที่อิ่มเอิบซึ่งเกิดจากความปีติ สรรหาคำพูดมาบอกกล่าวกันไม่ได้หรอกครับ เปรียบเสมือนคนไม่เคยกินเกลือ จะใช้คำพูดอะไรๆมาอธิบายยังไงก็ทำไม่ได้ที่จะให้ทราบว่ารสของเค็มเป็นเช่นไร (มันเป็นนามธรรมครับ ) ต้องประสบด้วยตัวเองจึงจะรู้ซึ้ง จริงๆครับ
    ดังนั้น กระผมจึงพิจารณานำบทความนี้เข้าเว็บ www.goosiam.com เพื่อเป็นสื่อสำหรับเผยแผ่ทาง INTERNET เพื่อจะได้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ท่านทั้งหลายที่ใฝ่ใจในธรรม ในชีวิตของกระผมยังไม่เคยบวชเลย ไม่ว่าในศาสนาใด ได้แต่ศึกษาหาความรู้สร้างสมไว้ในตัว และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาจารย์ทั้งหลายโดยไม่เลือกเจาะจงเป็นปัจเจกบุคคล (เฉพาะคน ) การชอบอ่านหนังสือทุกประเภทและชอบเข้าหาพระสงฆ์รับฟังการสาธยายธรรมจากพระอาริยะสงฆ์ และเผอิญได้มีโอกาสถูกทางราชการเรียกตัวไปฝึกอบรมวิชาการเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อสมัยยังรับราชการอยู่
    เนื่องจากได้คณะท่านอาจารย์ชุดที่เป็นครูฝึกปฏิบัติกรรมฐานครั้งนั้น เป็นชุดของพระราชสำนักซึ่งอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมี (ขออนุญาตเอ่อนาม ) พอ.พิเศษ ปาน จันทานุต ถ้าเขียนผิดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะเป็นเวลานานประมาณ 20 ปีแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่าย ฆราวาสและ พระมหาบุญหลง 9 ประโยค เป็นอาจารย์ใหญ่ ทางพระสงฆ์ ได้รับการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทั้งกลางวันและกลางคืน จึงทำให้ผมได้ความรู้มาอย่างแจ่มแจ้งและด้วยมีบารมีเก่าแต่ชาติก่อนมาก จึงทำให้การปฏิบัติก้าวหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น หาได้อวดอ้างหรือ อุตริในสิ่งที่ไม่มีในตนไม่ ถ้าท่านอ่านบทความนี้แล้ว ลองปฏิบัติดู ทำเล่นๆแหละครับ ไม่ต้องจริงจังมาก เพราะมันจะเป็นกิเลส แล้วไม่สำเร็จครับ เมื่อปฏิบัติแล้วมันเกิดผลยังไง หรือมีข้อขัดข้องอย่างไร อย่าเก็บไว้คิดคนเดียว ขอได้โปรดให้ความไว้วางใจ ให้กระผมช่วยสอบอารมณ์การสอบอารมณ์เป็นภาษาของกรรมฐาน ไต่ถามข้อสงสัยในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติครับ
    ต่อไปนี้เป็นการบอกกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งแตกต่างจากตำราอื่นๆที่ท่านเคยอ่านหรือเล่าเรียนมา เนื่องจากบทความนี้เกิดจากผลของการปฏิบัติกรรมฐาน ( กัมมัฏฐาน ) ไม่ใช่จากปริยัติ คือการเล่าเรียนหรือจากตำรา
    ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อน (อาจจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนนะ ) สังเกตมะ คนเราเมื่อมีอายุสูงขึ้นๆมักจะหันหน้าเข้าวัดเข้าวามาปฏิบัติธรรมกัน ทำๆมัย เขาบอกว่า (พระพุทธเจ้า ) คนเราทุกคนเกิดมาจะต้องมีร่างกายและจิตใจ (วิญญาณ ) ประกอบกันสองอย่างจึงจะเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ ร่างกายเมื่อสกปรก ก็ต้องชำระล้างด้วยการอาบน้ำ และจิตใจเมื่อสกปรก จะทำอย่างไร พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จึงชี้แนะให้ปฏิบัติกรรมฐานเท่านั้น จิตจึงจะสะอาดได้ ลองคิดดูวันหนึ่งๆว่าเราคิดมิดีมิร้ายอะไรบ้าง นั่นแหละที่ทำให้จิตสกปรกร่างกายเราอาบน้ำทุกวัน แล้วจิตเล่า ตั้งแต่เกิดจนตายน้อยคนนักที่จะชำระล้างจิต ( ปฏิบัติกรรมฐาน ) เมื่อจิตสะอาด มันก็สงบทำให้กิเลสต่างๆออกไป (กิเลส คือความอยากทั้งหลาย เช่น อยากได้, ไม่อยากได้, อยากเป็น, ไม่อยากเป็น,ฯลฯ มันเสมือนความมืด เมื่อความมืดหายไป ความสว่างไสวก็กลับมาแทน
    เรามาเริ่มต้นกันเถอะ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอน เหมือนการขึ้นบ้านเรือนชาน ก้าวขึ้นทีระขั้นๆมันมีมากมายรายวิธี เช่นขึ้นบันได, ขึ้นลิฟท์,โหนเชือกขึ้น, หรือเอาไม้ค้ำถ่อขึ้น, ปีนหน้าต่าง ฯลฯ ควรพิจารณาเลือกเอาทางที่ดีที่สุด เพราะเมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ผลมันก็เหมือนกันไม่ว่าจะขึ้นทางไหน การปฏิบัติกรรมฐาน ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่ามีถึง 40 ทาง จะให้บอกทางทั้งหมดกระผมคงจนปัญญา แต่ทางที่พระพุทธองค์ทรงเลือกปฏิบัติและสำเร็จตรัสรู้ด้วย อริยสัจ 4 เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ท่านทรงพิจารณาเลือกปฏิบัติทางสายกลาง ที่ไม่ตรึงเกินหรือหย่อนเกิน ทางนั้นคือ อานาปานสติ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกขณะปฏิบัติกรรมฐาน
    ดังนั้น เรามาเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนะครับ (แต่ต้องปาวนาศีล ก่อนนะเอาเพียงศีล 5 ก็พอแล้ว ) เมื่อสวดมนต์เสร็จ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ร่วงลับไปแล้วทุกๆคนและสัตว์โลกทั้งหลาย ต่อด้วยการแผ่เมตตา ต้องตั้งจิตให้มั่นให้ด้วยความเต็มใจนะ ไม่งั้นจะไม่มีผลอะไรเลย ไม่ต้องเกรงกลัวว่าบุญของเราจะหมดไปเนื่องจากการอุทิศส่วนกุศลนั้น เขาเปรียบเสมือนว่าบุญคือแสงสว่างแห่งดวงประทีป เมื่อมีผู้คนร่วมเดินทางไปในที่มืดๆ เรามีแสงสว่างเพียงคนเดียว แต่มีใจเมตตาบอกให้พวกเขาเหล่านั้นเข้ามาในรัศมีแสงสว่างของ
    เรา ท่านเห็นภาพหรือยัง ว่าแสงนั้นจะน้อยลงได้ไหม บุญของเราก็คือกันไม่มีหมดและจะได้เพิ่มขึ้นอีก คือบารมี เมื่อเข้าใจดีแล้ว เราก็หวนกลับมาเรื่องเดินจงกรม ไม่ใช่เดินเป็นวงกลมๆนะครับ อย่าเข้าใจผิด คือการเดินไปเดินมา ตามระยะทางที่กำหนด ไม่ใกล้เกินหรือไกลเกินควรจะมีระยะทางประมาณ 3 ถึง 5 เมตร ก็พอควรแล้ว ทำไมจึงต้องเดินจงกรม เพราะว่าการเดินจงกรมนั้นเป็นการเหนี่ยวรั้งจิตที่กระเจิดกระเจิงท่องเที่ยวอยู่ที่ไหนๆก็ไม่ทราบ ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเร็วๆ ท่านทราบมั้ยว่าจิตของคนเรามีกี่ดวง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมดมี 89 ดวง แต่แพทย์แผนปัจจุบันบอก คนเรามีเส้นประสาทสายเมน 88 เส้น แบ่งงานกันทำเป็นครู่ๆ รับและส่งความรู้สึกสู่สมอง (ทางพระเรียกว่าเวทนา)แปลว่าความรู้สึก จะหาอ่านได้ใน ขันธ์ 5 จะบอกก็เกรงว่าจะเขียนไม่ถูก เพราะเป็นภาษา บาลี เอาตัวอย่างนะ เช่น รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา นอกเรื่องเสียนาน คิดว่าคลายเครียดนะการเดินไม่ยากครับ แต่มายากตอนกลับตัวที่จะเดินกลับ หลังจากแผ่เมตตาเสร็จเรียบลุกขึ้นไปตรงที่จะเดินทันที เปรียบเสมือนช่างตีเหล็ก ต้องตีขณะที่เหล็กกำลังร้อนๆอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นอย่างหวังเลยว่าจะพบความสำเร็จ อย่าลืมระยะทางที่จะเดินควรจะมีความประมาณ 3 – 5 เมตร ก็พอ ยืนหันหน้าไปทางจุดที่จะหยุดแล้วหมุนตัวกลับหลังเดินมาที่เดิม เริ่มจากการยืนให้ตัวตั้งตรง เท้าทั้งสองข้างวางชิดกัน ไม่ถึงกับเบียดกันให้ห่างกันสัก 2 นิ้ว เพื่อการทรงตัวมั่นคง ( ช่วยลุกขึ้นทำตามด้วยครับจะได้ไม่ผิดเพี้ยน ต่อไปจะได้สอนลูกหลานได้ถูกต้อง ) ฝ่ามือข้างซ้ายเอามาคว่ำลงที่ต่ำกว่าสะดือพอควรแล้วเอาฝ่ามือข้างขวาคว่ำลงทับบนหลังมือข้างซ้ายหรือจะหย่อยฝ่ามือลงสุดแขนเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเก็ง ลองทำดูเอาให้สะดวก สายตามองข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย (จิตจะได้ไม่วอกแหวก ) หายใจลึกๆ 3 ครั้ง ควรภาวนาคำว่า พุท ขณะลมหายใจเข้า และ โธ เมื่อหายใจออก ครบ 3 ครั้งแล้ว ให้หลบสายตาลงพอเห็นหัวนิ้วโป้เท้า เอาจิตจับเกาะติดอยู่ที่นั่นหยุดคิดถึงเรื่องใดใดทั้งหมด แล้วค่อยๆยกเท้าข้างขวาขึ้นพอพ้นพื้นที่ยืนกระว่าสูงประมาณสักฝ่ามือตัวเองนะครับช้าๆ น้ำหนักตัวอยู่ที่เท้าซ้าย แล้วก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับคำ ภาวนาว่า พูท ( ไม่ใช่เขียนผิดนะ ตั้งใจเขียนตัวนี้ พูท เพื่อให้การออกเสียงได้ถูก พุทยาวๆงัยครับ ) ผมไม่ใช่เพี้ยนนะครับแต่เพื่อความจริงจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ภาวนา พูท และหายใจเข้าลึกๆพร้อมๆกับยกเท้าข้างขวาก้าวไปวางข้างหน้าให้สุดคำว่าพุทพอดีกับเท้าลงถึงพื้นพอดีๆจริงๆนะ ให้เลยหัวนิ้วโป้เท้าซ้ายไปประมาณหนึ่งฝ่ามือตัวเอง ไม่ต้องรีบต้องร้อน แล้วยกเท้าซ้ายก้าวไปพร้อมหายใจออกและ ภาวนาคำว่า โธ ยาวๆทำเช่นเดียวกันกับที่ก้าวเท้าข้างขวาเลยครับ ก้าวเลยไปวางลงให้ห่างจากหัวนิ้วโป้เท้าข้างขวาประมาณ หนึ่งฝ่ามือเช่นกัน เดินไปจนถึงที่ที่กำหนดจะหยุดกลับตัวหมุนกลับแล้วเดินมายังที่เดิม
    มาดูการหมุนตัวกลับหลัง ( ไม่เหมือนกลับหลังหันในระเบียบตั้งแถวนะครับ ) มันต่างกัน ทำตามด้วยครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะงงและทำไม่ถูกต้อง เมื่อถึงจุดที่กำหนดให้เงยหน้าขึ้นส่งสายตาแลไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เพื่อคลายความเครียดของตา ภาวนา คำว่าพุท โธ 3 ครั้ง ขออภัย ลืมบอกจุดสุดท้ายที่จะหยุดเดิน ให้ท่านวางเท้าข้างซ้ายเพียงเสมอกันกับเท้าข้างขวาให้พอดี ต่อจากนี้มาดูการกลับตัวเพื่อจะเดินกลับมาที่เดิมยกปลายเท้าข้างขวาขึ้นพอประมาณ ส่วนส้นเท้ายังคงติดอยู่ที่พื้น น้ำหนักตัวจะอยู่ที่เท้าข้างซ้าย ภาวนา พูท ด้วยนะ แล้วหมุนเท้าข้างขวาไปวางตรงกับไหล่ข้างขวาให้พอดี แล้วยกเท้าข้างซ้ายตามไปวางชิดกับเท้าข้างขวา อย่าลืมคำภาวนา ว่า โธ ด้วยครับ ช่วงนี้จะเป็นขวาหันแล้วครับ แล้วดำเนินการต่อไปเหมือนครั้งแรกอีกรอบ ก็จะเป็นอันกลับหลังได้โดยสมบูรณ์ รองทำหลายๆครั้ง จะเห็นว่ามันไม่ใช่ของยากเลยจริงไหม
    เมื่อกลับหลังแล้วเสร็จ มองไปทางหน้าส่งสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย หายใจลึกๆ สามครั้ง อย่าลืมภาวนา พูท-โธ ไปด้วย แล้วเริ่มเดินจงกรมต่อไปจนถึงที่กำหนดเวลาไว้ว่าครั้งนี้จะปฏิบัติกรรมฐาน นานกี่นาทีโดยปกติจะใช้เวลาอยู่ในระหว่าง 5-20 นาที นี่ก็เพียงพอแล้ว ขอให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกๆวันเถอะ สำหรับฆราวาส (บุคคลที่ไม่ใช่นักบวช ) พระท่านบอก การที่จะจับดวงจิตของตนเองให้หยุดนิ่งๆได้สักหนีดเนี่ย เอาเพียงแค่ 3วินาทีนี่แหละ สู้บังคับลิงจำนวน 100 ตัว ให้หยุดนิ่งเฉยๆพร้อมๆกันยังง่ายกว่าอีกครับ เขาบอกว่าระยะเวลาเดินจงกรมกับปฏิบัติกรรมฐานจะต้องสอดคล้องกัน คือประมาณพอๆกัน ถ้าเดิน 15 นาที ก็ใช้เวลาปฏิบัติกรรมฐาน 15 นาที เหมือนๆกัน ข้อนี้อย่างไปเคร่งคัดมันนักจะเกิดความเครียด ทำให้เป็น กิเลส
    หลังจากเดินจงกรมเสร็จ รีบเข้าที่นั่งลงแล้วอธิษฐานจิตเพื่อปฏิบัติกรรมฐานทันที เหมือนช่างตีเหล็ก ถ้าขืนชักช้าเหล็กเย็นลงก็ต้องเริ่มเผาไฟกันใหม่แหละครับ กรรมฐาน ถ้าช้า จิตของเรามันก็จะฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนให้วุ่นอีกเหมือนเก่า ต้องทำให้ต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ ไม่ใช่หยดน้ำ ที่จริงเราก็ต้องกำหนดสถานที่อันเหมาะสมไว้ก่อนแล้ว ว่าตรงไหนสมควรแก่การที่จะปฏิบัติธรรม อย่างเช่น ในห้องพระ, หน้าหิ้งพระ, หรือสถานที่อันสงบๆสักแห่ง ตามแต่จะสะดวกของแต่ระบุคคล แม้แต่บนที่หลับนอนของเราก็ได้ไม่เป็นปัญหาใดใดทั้งสิ้น สิ่งที่รบกวนร่างกายมากก็คือ ยุง ส่วนทางจิตนั้น คือ นิวรณ์ 5 ข้อหลังนี้เดี๋ยวจะบอกและ ยุง ท่านทราบมาแต่เด็กแล้ว แต่ก็หลายคนนะไม่รู้ว่ามันมีสักกี่ชนิดหาเอาเองครับ บอกอย่างยุงตัวผู้ไม่กินเลือดคนครับเพราะมันกินยางไม้ มนุษย์ก็พอๆกับยุงนะครับ เพศเมียเนียะ เล่นเอา คนเพศผู้ ขนาดระดับ 10,11ติดคุกกันมามากต่อมากแล้ว แหละก็โดนยิงเป้ากันน้อยชะเมื่อไร ดังนั้นก่อนจะทำอะไรๆลงไปก็ควรพิจารณาไว้บ้าง อย่าใช้แค่ความคิด เพราะคำว่าคิดกับคำว่าพิจารณา ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันมาก คิดนี่มันแป๊บเดียว แต่การพิจารณานี่บางเรื่องหลายๆเดือนก็ยังไม่เสร็จ จริงไหม
    เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องเดินจงกรมแล้ว ก็ต้องรีบนั่งทันทีโดยใช้ท่านั่งขัดสมาธิ (นั่งขัดสะมาด ) เท้าซ้ายอยู่ข้างล่าง เท้าขวาทับบนเท้าซ้าย แล้วเอาฝ่ามือซ้ายหงายวางลงบนหน้าตัก เสร็จแล้ววางฝ่ามือขวาลงทับบนมือซ้ายวางให้เข้ารูปแบบพระพุทธรูปทรงปรางสมาธิ ให้หัวนิ้วชี้มือขวาชนหัวนิ้วโป้มือซ้าย เอาพอแตะกันตามสบายบางท่านก็วางแบบให้หัวนิ้วโป้ทั้งสองมือชนกันก็มีเยอะ ท่านสามารถที่จะเลือกใช้ได้ตามจริตของตัวเองถนัดเพราะไม่มีข้อบังคับเจาะจง นั่งตัวตรงหรือจะโค้งลงนิดๆ ก็ไม่ว่ากัน หลับตาพอเปลือกตาปิดสนิทไม่เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าเกร็งจนหนังตาย่นหลับเพียงพอดีๆตามสบาย แล้วลองหายใจดูซิ ลึกๆ สั้นบ้าง ยาวบ้าง ถ้ายาวนี่เท่ากับกรรมการนักมวยนับนักมวยที่ถูกคู่ต่อสู้ชกแล้วล้มลงไปนอน แล้วนับจนถึง 10 นั่นแหละครับ เมื่อได้ทดสอบทางลมหายใจดีแล้ว ก็เริ่มกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก
    บัดนี้ ถึงเวลาปฏิบัติกรรมฐานโดยตรงระนะ ในเมื่อถ้านั่งและวางมือได้ถูกต้องที่เรียบร้อยแล้ว หลับตามสบาย หายใจเข้า-หายใจออกอย่างสม่ำเสมอ อย่ากระตุกหรือกระชากลมหายใจ จะสั้นหรือจะยาวไม่สำคัญเอาความรู้สึกกำหนดจิตไว้ที่รูช่องจมูก พยายามหายใจเข้า-ออก ให้ความถี่ ห่างเป็นไปอย่างเท่าๆกัน ลมหายใจเข้าก็รู้ ออกก็รู้ อย่าติดตามหายใจไปในท้องนะ เขาให้กำหนดทางลมลงไปในท้องสุดตรงจุดเหนือสะดือประมาณ 2 นิ้ว ขอบอกท่านสุภาพบุรุษ ไว้ก่อน อย่างให้ลมลงต่ำจนถึงลูกอัณฑะ โดยเด็ดขาด เพราะไม่นานนักท่านจะหมดความรู้สึกทางเพศ ลงต่ำสุดเหนือสะดือแค่ 2 นิ้วจะพอดีแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นด้วย ขณะนี้ให้มีความรู้สึกเพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เรื่องราวต่างๆปล่อยวางให้หมด ความรู้สึกในเรือนร่างอยู่ที่ปลายจมูกแล้วจิตเล่ามีอะไรให้เกาะยึดเหนี่ยวบ้างหรือเปล่า มีครับความสำคัญไม่แพ้การรับรู้ลมหายใจเข้า-ออกเลยครับจิตกำหนดจับอยู่ลมหายใจเหมือนกัน คือหายใจเข้าก็ภาวนาคำว่า พุท ( พูท ) จะสั้นหรือยาวอยู่ที่ลมหายใจและหายใจออกก็ ภาวนาคำว่า โธ จะยาวหรือสั้นก็อยู่ที่ลมหายใจเข่นกัน หายใจเข้าก็ พูท หายใจออกก็ โธ หวังว่าคุณท่านคงจะเข้าใจบ้างแล้วนะ ขอบอกก่อนเฉพาะบางท่านนะ ในช่วงระยะประมาณ 5 นาทีแรกท่านอาจจะมีอาการปวดเมื่อยหรือเป็นเหน็บชา ไม่ต้องวิตกกังวน พอพ้นเลยไปสักคู่อาการนั้นจะหายไปเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องเกร็งนั่งอย่าให้ตัวงอลงมาจนอกตกลงมากองอยู่บนพุงนะ เดี๋ยวก็จะพาลหลับเอาง่ายๆ
    ขณะที่เรานั่งหลับตาภาวนา พุท-โธ อยู่นั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีแน่ๆครับเช่นความเจ็บปวดเมื่อยขาเท้า ปวดเอวปวดหลัง ข้อนี้ปกติของทุกๆคน ครับ แต่ท่านจะหนีไม่พ้นเลยมีอีกครับ แม้แต่พระสิทธัทถะกุมาร ก็ผจญมาแล้ว มันคือพญามารทั้ง 5 ( นิวรณ์ 5 ) คำจำกัดความ คือตัวกรีดกั้นขวางทางสำเร็จของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ชาวบ้านเขาเรียกพญามาร ตัวนี้แหละที่พระพุทธเจ้า ชนะมันจนสำเร็จสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มันมีตัวอะไรบ้าง ขอย้ำนะ นิวรณ์ 5 นี่ต้องจำมันให้เข้าใจเลยนะ มันมีดังต่อไปนี้ :-
    1. หมกมุ่นกามารมณ์ ลุ่มหลงความรัก
    2. โกรธเกลียด อาฆาต พยาบาทเครียดแค้น
    3. ซึมเซา เหงาหงอย หาวนอน
    4. ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ รำพึงรำพัน
    5. ลังเล สงสัย เชื่อ ไม่เชื่อ
    กระผมพิจารณาแล้วนะ คงไม่ต้องอธิบายรายละเอียด นะครับ เดี๋ยวจะว่าผมดูถูกภูมิปัญญาของท่านขณะที่เราอยู่เฉยๆเนี่ย ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจเราเลย แต่พอนั่งหลับตาภาวนา พุท-โธ ปุบมันมาทันที ขณะที่ท่านอ่านบทความนี้ก็ไม่มีอะไรมา แต่ถ้าคุณท่านนั่งหลับตา เริ่มภาวนา ซิมาแน่ไอ้ความหลังเก่าๆสมัยยังเด็ก ยังหนุ่ม สาว โน่น เคยทำเรื่องมีเรื่องสารพัดเรื่องนานาชนิด ไหลเข้ามาให้หวนคิดถึงมันทันที เช่นเคยโดนคุณพ่อคุณแม่ดุ เพราะน้องเล่นเข้าของแตกหัก แทนที่จะว่าน้อง กับมาว่าเรา นึกโกรธแล้วซินั่นแหละ นิวรณ์ ตัวที่ 2เข้ามาแล้ว ยิ่งช่วงเป็นหนุ่ม-สาวด้วยแล้ว มีเยอะ หลับตาภาวนาปุบ มาเลย คนนั้นมาจีบเรา คนนั้นเราหลงรักเขา อย่างเนี่ยแล้วทำให้จิตเรากระเจิดกระเจิงวุ่นไปหมด นี่คือ นิวรณ์ ตัวที่ 1. ครับ ถ้าเราจำได้ว่าตัวที่มันมานั่นตรงกับ นิวรณ์ ตัวไหน นั่นคือเท่ากับเรารู้ทันมันแล้ว ให้กำหนดรู้ว่ารู้หนอ รู้หนอรู้หนอๆๆๆๆๆ ไม่นานมันจะหายไปเอง แล้วกลับมาภาวนา พุท-โธ ตามเติม ไม่ต้องกลัวมัน จำให้แม่นว่าตัวที่มานั่นมันตรงกับ นิวรณ์ตัวไหนเท่านั้นเอง เราก็ชนะมันแล้ว พระพุทธเจ้าท่านรู้แล้วจึงเอามาสั่งสอนเรา เมื่อเราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน เราก็สำเร็จได้ไม่ยากจริงไหมครับ เมื่อมีถนนเราก็เดินทางถึงจุดหมายได้ตามประสงค์ แต่พาหนะมีให้เลือกได้เยอะ เช่นรถไฟ เรือเมล์ เครื่องบิน จักรยานยนต์ ฯลฯ จะไปทางไหนก็เหมือนกัน เมื่อถึงปลายทางมันก็ที่เดียวกันครับ แต่การเดินทางต่างกัน บางอย่างเร็วมาก บางอย่างช้ามาก บางอย่างอันตราย เราก็ต้องเลือกใช้พาหนะให้ถูกใจเรา จริงไหมครับ เส้นทางของกรรมฐาน มีตั้ง 40 ทาง จริตเราชอบทางไหนก็เดินทางนั้น
    ท่านผู้ใหญ่หลายๆท่านบอกว่า ปฏิบัติไม่ได้เลยใจมันวุ่นวายไปหมด ห่วงโน่นห่วงนี่ เรื่องลูกเรื่องหลานสารพัด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้จักนิวรณ์ 5 นั่นเอง และท่านที่พูดว่ายังทำไม่ได้หรอก ที่จริงๆทำได้แต่ไม่ทำ นั่นแหละเจอนิวรณ์ 5 ตัวที่ว่า ลังเล สงสัย เชื่อ ไม่เชื่อ ครับ ประเภทนี้ตัวนิวรณ์ หรือพญามารมาผจญเสียแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ จึงกลายเป็นคนที่เสมือนดอกบัว 4 เหล่า ของพระพุทธเจ้า และท่านผู้นั้น ก็คือ ดอกที่ยังจมอยู่ในโคลนตม ยังไงๆก็ยากที่จะโผล่มาพ้นน้ำได้ คนประเภทนี้แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ยอมสาธยายพระธรรมให้ฟัง
    เมื่อได้ดำเนินการปฏิบัติไปจนถึงเวลากำหนดแล้ว ก็อธิษฐานจิตออกจากสมาธิ ในระหว่างปฏิบัติ กรรมฐาน ถ้ามันเกิดขัดข้องสงสัยอะไรๆที่มันเกิดขึ้น อย่าเก็บเอาไว้ ไม่งั้นมันก็อยู่ในนิวรณ์ ตัวที่ 5 แหละต้องขอสอบอารมณ์กับอาจารย์ มีศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว สอบอารมณ์ ใช้สำหรับกรรมฐานโดยเฉพาะ เป็นการไตร่ถามข้อสงสัยจากผลการปฏิบัติกรรมฐาน จากอาจารย์ หรือผู้รู้ จะได้อธิบายให้เข้าใจ

    การปฏิบัติกรรมฐานจะให้บรรลุผลสำเร็จ จะต้องดำเนินไปตามขั้นตอน คือบันใด 3 ขั้น
    1. ศีล
    2. สมาธิ
    3. ปัญญา
    ผู้ที่จะปฏิบัติกรรมฐานจำเป็นอย่างยิ่งต้องมี ศีล เป็นบันใดขั้นที่หนึ่ง อย่างน้อยต้องศีล 5 คือมีศีล 5 อยู่ในตัวเสมอ ไม่ใช่ผู้ถือศีล การถือศีลเป็นการบังคับให้ปฏิบัติ ไม่ให้ทำเลยจริงไหม ส่วนสัตว์เล็กสัตว์น้อยเช่น ยุง,มด,แมลงต่างๆนั่น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็นสัตว์ประเภทสามัญ ไม่ถือว่าละเมิดศีล เพียงแค่บงอาบัติก็หาย (สารภาพผิด ) ต้องไปดูบนกุฏิ เมื่อพระฉันข้าวเช้าเสร็จก็จะ บงอาบัติ คือบอกกับพระผู้มีอาวุโสกว่า ว่าวันกับคืนที่ผ่านมาได้กระทำการละเมิดศีล ( ผิดศีล ) ข้อไหนบ้าง เมื่อพระผู้ใหญ่กว่ารับรู้แล้วบาปนั้นก็หายไป ข้อนี้ตรงกันกับของคริสต์ศาสนา เมื่อยังเด็กไปเข้าโบสถ์ฝรั่งบ่อยๆ หลวงพ่อจะพูดเสมอๆว่าลูกๆทั้งหลาย มีใครทำผิดอะไรมาบ้าง ถ้ามีก็จงมาสารภาพผิดเสียนะ แล้วลูกก็จะพ้นบาป
    แต่พระสงฆ์ของพุทธศาสนาไม่ยอมบอกความจริงแก่ฆราวาส บอกแต่ว่าใครทำบาปต้องไปทำบุญถ่ายบาป เอ๊าไปกันใหญ่หันมาพูดเรื่องศีลตามเดิมเถอะ ฟรี 4 ข้อแล้ว เหลือข้อเดียว มุสาวาทฯ ข้อนี้แหละทำใจลำบาก มันไม่ใช่พูดเท็จอย่างเดียว เยอะแยะเลย เช่นพูดสอดเสียด,พูดแล้วทำให้คนอื่นหรือกระทั้งตัวเองเดือดร้อน,พูดแล้วทำให้หมู่คณะแตกแยกฯลฯ ต้องพยายามทำให้ได้ครับ ถ้าผ่านแค่ศีล 5 ไม่ได้ก็อย่างหวังเลยว่าจะถึงเป้าหมาย ท่านเชื่อไหมว่าคนที่มีศีลครบอยู่ในตัวเนี่ย ยุงก็ไม่กัดครับ นอกจากยุงเกเรอันธพาล มันไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรหรอก สัตว์ทุกชนิดเหมือนกันหมด มีดีไม่ดีแบบเดียวกันทั้งจักรภพ วันหนึ่งเมื่อยังเด็กๆนั่งดูนกกระจาบทำรังบนต้นไทรหน้าบ้านหลายสิบรังเลยนะ มีคู่หนึ่งคอยขโมยหญ้าพง ข้างๆรังของเพื่อน เอาไปสานใส่รังตัว มันรอให้เพื่อนบินไปเอาใบพงที่ริมบึง คราบบินมาเสียบไว้ข้างๆรังก่อน คงตั้งใจไปเอาพงมามากๆก่อนค่อยสานทำรังทีหลัง พอเจ้าของบินไปเอาหญ้าพงริมบึง อยู่ทางนี้เจ้าสองผัวเมียขี้ขโมยก็บินไปคราบ
    หญ้าพงของเพื่อนมาทำรังตัวเอง ผมดูอยู่เป็นนาน เจ้าของมันคงนึกรู้ ก็ฉลาดพอควร มันบินไปทั้งสองตัวผัวเมียอีก คราวนี้พอพ้นต้นไทรก็วนกลับทันที (สุดยอด ) จับได้คาตามันเลย บินเข้าใส่เจ้าหัวขโมยทั้งจิกทั้งตีตกลงมาถึงพื้นดินเลยฝุ่นกลบเลย เล่นเอา ผมหัวเราะจนน้ำตาไหล ที่จริงผมจะบอกเจ้าของมันนะ แต่ไม่รู้จะสื่อภาษาอย่างไรให้มันเข้าใจ เรื่องจริงครับ ดังนั้นขอจงอย่างเชื่อใจคนผู้ใกล้ชิดจนเกินควรนะครับ
    มาพูดเรื่องกรรมฐานกันต่อดีกว่า ขอบอกไว้ก่อนนะอย่าเก็บเอาไปเป็นอุปทาน จงปล่อยจิตให้ว่างจริงๆอย่าได้ไปบังคับมันให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้หรือไม่ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะเข้านิวรณ์ข้อที่ว่าฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ เชื่อ ไม่เชื่อ ลังเร สงสัย ปล่อยให้มันเป็นไปของมันเองตามธรรมชาติเหมือนเราปลูกกุหลาบ จะให้มันออกดอกโดยทันทีทันใดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เราเพียงทำหน้าที่รดน้ำพวนดินเท่านั้น ถึงเวลาดอกมันจะออกของมันเอง กรรมฐานก็เช่นกัน อะไรมันจะเกิดมันก็เกิดของมันเอง ตัวเราเพียงบำเพ็ญเพียรภาวนาคำว่า พุท-โธ ๆๆไปเรื่อยๆกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออกตั้งสติไว้ที่ช่องทางลม ( อย่าติดตามลม ) อยู่ตรงรูจมูกเท่านั้น
    จะขอเล่าผลการปฏิบัติให้ทราบพอสังเขป เมื่อแรกๆจิตกำลังจะสงบ มันก็คล้ายๆกับฝูงผึ้งที่บินอยู่รอบๆรัง นั่นคือ ดวงวิญญาณทั้ง 89 ดวง เริ่มกลับเข้ามาหาร่างกาย จิตเราเริ่มเกิดความปีติ (เกิดสุข) อธิบายด้วยวาจาไม่ถูก เหมือนคนไม่เคยกินเกลือ เราจะหาคำพูดว่าอาการเค็มมันเป็นอย่างไร คนฟังก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี มันอิ่มเอิบ ซึ่งไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้ และเมื่อจิตมันสงบละเอียดมากกว่านั้นอีก ปกติดวงตาของเราเวลาหลับมันจะเป็นสีดำมืด แต่ดวงตาที่หลับอยู่ในกรรมฐานขณะจิตสงบละเอียดเราจะเริ่มเห็นเป็นสีขาวเหมือนๆจอโทรทัศน์ที่เปิดสวิทไฟแต่ไม่มีภาพ ขาวเหมือนกับเต็มท้องฟ้าไปหมด แหละเมื่อเราภาวนาไปเรื่อยๆจิตมันก็ละเอียดขึ้นอีก เราสามารถ เราสามารถบังครับให้แสงขาวๆนั้นเล็กลงๆๆๆๆจนเล็กของเล็กๆๆ ดุจเดียวกันกับที่เราใช้แว่นขยายส่องแสงแดดแล้วยกขึ้นยกลง ทำให้มันรวมเป็นจุดเล็กๆๆ หรือยกขึ้นทำให้มันใหญ่ขึ้นได้ตามใจเรา เหมือนกันเลยครับ จงสังเกตนะขณะที่เรากำลังเล่นกับแสงนั้นเพลินๆอยู่ เผอิญมีรถยนต์หรือเสียอะไรดังๆทำให้เราตกใจ จิตของเราจะเหมือนแกว่งและวูบลง สิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่นั้นจะขยายโตกว่าเดิมทันทีให้กำหนดรู้ไว้แล้วภาวนาต่อไปไม่นานจิตก็ละเอียดและสามารถบังคับได้ใหม่อีก ถ้าจิตเราสงบแน่นิ่งๆสิ่งที่เห็นจะคงที่ตลอด ในช่วงนี้จะมีความรู้สึกว่าร่างกายไม่มี มีแต่ความรู้สึก และสิ่งที่เห็นมันเห็นรอบทิศทาง (360 องศา ) ไม่มีด้านหน้าด้านข้างด้านหลัง เราอย่าไปติดอยู่แค่ตรงนั้น กำหนดรู้ในใจว่ารู้หนอๆๆๆๆๆๆแล้วภาวนาต่อไป
    เมื่อเราปฏิบัติจนจิตละเอียดสงบขึ้นอีก แสงสีขาวๆจะจะเกิดสีดุจดังกลุ่มหมอกควันของเพชรนิลจินดา สวยงามมาก และพาเราท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่มีร่างครับมีแต่ความรู้สึกกับเห็น อย่าหยุดเพลิดเพลินอยู่ตรงนั้นนะ มันจะไม่ก้าวหน้า ปล่อยไปตามเรื่องของมันแล้วแต่ว่ามันจะพาเราไปไหน และไม่ต้องเกรงว่าจะกลับเข้าร่างไม่ได้จะไปไกลแสนไกลเพียงใดก็ตาม เพียงเรากำหนดจิตกลับร่าง ทุกอย่างก็คืนสภาพเดิมแล้ว ง่ายกว่าปลุกคนนอนหลับให้ตื่นอีกครับ
    ขั้นตอนต่อไปนี้จะพูดถึงผลการปฏิบัติกรมฐานจนจิตของเราสงบละเอียดมากขึ้นๆจนถึงชั้นปฐมญาณ (เขาเรียกฌานชั้น สี่ ) จะเกิด นิมิต เป็นภาพต่างแล้วแต่จิตจะปรุงแต่ง เห็นได้ชัดแจ๋วแจ่มกว่าภาพในโทรทัศน์สีที่ดีๆเสียอีก เราเองไม่มีตัวตน มีแต่ความรู้สึกและเห็น และเห็นได้รอบทิศทางเหมือนแสงเทียนที่สว่างรอบตัวมันนั่นแหละ ขอบอกไว้ก่อนนะท่านอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่า ภาพในนิมิตที่เห็นนั่นไม่ใช่ของจริง แต่ที่เห็นนั้นเห็นจริง เหมือนเราดูภาพยนต์ ดูโทรทัศน์ แบบเดียวกันเห็นจริงแต่ไม่ใช่ของจริง ภาพนั้นอาจจะในอดีตหรือในอนาคตก็ได้ หรือจิตปรุงแต่งขึ้นก็ได้ จึงอย่าไปยึดมั่นถือมั่นติดมันอยู่ตรงนั้น จะทำให้กรรมฐานของเราไม่ก้าวหน้า เชิญท่านชมนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐานของผม เลือกเอามานำเสนอให้ชมเพียงสองเรื่องก็พอแล้ว ผมพิมพ์ไม่เก่ง อยากให้ท่านทำความเพียรเอาเอง วันนั้นหลังจากนั่งหลับตาภาวนา พุท-โธผ่านไปไดสัก 5 นาที กว่าๆ จิตก็เริ่มสงบลงๆละเอียดมากขึ้นๆตาที่หลับปิดสนิทดำมืดทันทีแสงสว่างก็เกิดขึ้นฉับพันธ์ เห็นตัวเองนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่หาดทรายชายทะเลที่นั้นตังเองไม่เคยไปเห็นมาก่อนนั่งสักคู่น้ำทะเลก็เริ่มเอ่อขึ้นๆมันสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนท่วมตัวผมเลยถึงไหล่ก็ยังไม่หยุดสูงขึ้นๆจะถึงจมูกอยู่แล้ว ผมต้องแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้หายใจได้ นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อชาหรือหลวงปู่แหวนเนี่ยะจำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าเมื่อกำลังปฏิบัติกรรมฐานไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น อะไรจะเกิดก็ให้เกิดจงอย่าลืมตาเด็ดขาด ขอเพียงให้ภาวนาไว้ (พุท-โธ ) ผมปฏิบัติตามนั้นไม่หยุด
    ทันใดนั้นเองคลื่นลูกใหญ่ชัดเข้ามาเต็มหน้าเลย ผมผงะเงยหน้าสุดๆ มีความรู้สึกว่าสิ่งที่เรานั่งมันอ่อนนุ่มๆยุบไปยุบมาและโคลงเคลงเหมือนอยู่บนเปล ในนิมิตเห็นน้ำทะเทเลกว้างใหญ่ไพศาล ผมนั่งอิงพิงหมอนขวาน (หมอนสามเหลี่ยม ) สำรวจดูตัวเองไม่มีเสื้อ แต่มีเครื่องเพชรนิลจินดาประดับแพรวพราวสวยงามมาก แสงแดดเจิดจ้า สงสัยเราทำไมไม่ร้อน เงยหน้าขึ้นดูข้างบนผมสะดุ่งเฮือก ก็ข้างบนมีแต่หัวพญานาคเต็มไปหมดยั้วเยี้ยเลยครับ ผมไม่กล้านับว่ามีกี่หัว พอสติกลับคืนดีแล้ว จึงพิจารณาว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แล้วก็คิดได้ว่าบุคคลที่อยู่ในกลางทะเลหรือมหาสมุทรและมีพญานาคเป็นที่ประทับก็มีคนเดียวคือพระนารายณ์ ซึ่งเป็นเสมือนทหารเอกของพระศิวะ ( ที่เขาเรียกว่านารายณ์บรรทมสิน ) ความคิดใหม่เกิดขึ้นอีก เอะ นี่เราคืนพระนารายณ์ รึความภูมิใจสุดๆเลย ความคิดไปไกลอีก แล้วพระนางลักษมีเล่าหายไปไหน (เมียพระนารายณ์ ) จิตคิดสู่สมกับพระนางลักษมีขึ้นมาทันที นี่แหละจิตตกอยู่ในนิวรณ์ 5 ข้อที่ 1(ที่ว่าด้วยเรื่องกามารมณ์)นิมิต ดับวูบเหมือน โทรทัศน์ ถูกปิดสวิทไฟจอขาวปกติเลยครับ ถ้าไม่ไปคิดอย่างนั้นกับพระนางลักษมี นิมิตก็คงจะอยู่ฌานอีกนาน จริงๆนะนิวรณ์ 5 นี่ต้องตัดมันให้ได้ ไม่งั้นจะไม่มีทางสำเร็จแน่ๆ จากนี้เป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่สุดของผม ที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐาน เหตุการณ์นี้เมื่อประมาณปี พ.ศ.2527หรือ2528 นี่แหละ จำไม่ค่อยได้ คืนนั้นผมอ่านหนังสือ ม.ส.ธ.ซึ่งกำลังเรียนคณะนิเทศศาสตร์ หลัง 23.00นาฬิกา ก็เข้านอน แต่ก่อนนอนจะปฏิบัติกรรมฐานเป็นประจำอยู่แล้วทุกคืน หลังจากนั้นก็เข้านอน ผมเป็นคนหลับง่าย คิดว่าประมาณเที่ยงคืน ( 24.00 น. ) ก็ฝันว่าตัวเองกำลังนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่ใต้ต้นทองกวาว ริมขอบสระน้ำ ร่มรื่นมาก และสถานที่นั้นก็รู่ว่าอยู่ตรงไหน เพราะไปยืนชมฝูงปลาปล่อยๆ ในฝันปรากฏว่ามี แสงสีสดสวยเหมือนเพชรนิลจินดาพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ที่ผมนั่งอยู่นั่น ไม่มีความร้อนดุจดังนั่งบนกองเพลิง ทันใดนั้นเองก็ปรากฏมีบุรุษผู้หนึ่ง ร่างกายใหญ่ดำทมิฬ ในมือถือกระบองยืนอย่างองอาจขยับแกว่งไปแกว่งมาแล้วยกมืออีกข้างชี้มาทีผมพร้อมกับส่งเสียงอย่างดังว่า เฮ้ย ! ผมสะดุ้งเล็กน้อย เหลียวดูมัน “ออกไปให้พ้นจากตรงนั้นนะ มานั่งทับสมบัติกู ถ้าไม่ลุกกูตีมึงตายแน่ (มันใช้คำพูดสมัยพ่อขุนราม ฯ )มันไม่ใช่พูดเฉยๆครับ มันย่างสามขุมพร้อมกับยกกระบองอันเบ้อเล่อปี่เข้าหาผมทำให้ผมตกใจสะดุ่งตื่นเลย ผมนอนพิจารณาทบทวนเหตุการณ์ที่ฝัน และแล้วผมก็ตัดสินใจ ก็เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเพื่อทดสอบการปฏิบัติกรรมฐาน จึงลุกขึ้นนั่งแล้วอธิษฐานจิตเข้าปฏิบัติกรรมฐานทันที โดยขอให้เหตุการณ์ในฝันเกิดนิมิตต่อจากที่ฝัน แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออก พุธ-โท ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 5 นาที จิตสงบนิ่งเกิดภาพนิมิตต่อเนื่องในความฝันทันที คราวนี้ไม่ใช่หลับเพราะเด็กวัยรุ่นกลับจากไปเที่ยวและคุยกันมาได้ยินชัดหมด
    เห็นตัวเองนั่งอยู่ในเปลวแสงสีระยิบระยับสวยงามมาก ไอ้ดำร่างกายสูงใหญ่ก็ยังถือกระบองคุมเชิงอยู่ข้างหน้า เมื่อพิจารณาก็มั่นใจว่านิมิตต่อเนื่องจากความฝันแน่ ก็นึกถึงคำพูดของหลวงปู่แหวน ว่า นิมิตไม่ใช่ของจริง แต่ที่เห็นนั้นเห็นจริงอย่าลืมตาเป็นอันขาด ให้ ภาวนาไว้ ไม่ต้องกลัว จึงทำตามหลวงปู่ว่าตลอด ฝ่ายไอ้ดำก็ขู่อยู่นั่นแหละ ถ้าไม่ลุกจากขุมทรัพย์มันๆจะตี พูดเฉยๆชะเมื่อไร เดินปี่เข้ามาด้วย ทำท่าจะเล่นงานเราจริง ก็เลยต้องลุกขึ้นจากที่นั่ง ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะลุก มันก็ชี้มือไปอีกด้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆกันแหละห่างกันประมาณ 5 เมตร เสียงมันดังมากว่า “นั่นสมบัติมึงอยู่หลุมโน้น (ชี้มือบอกด้วย ) หลุมนั้นของกู “
    ผมลุกขึ้นยืนถอยออกมายืนห่างๆ มองตามทิศทางที่มันชี้นิ้วบอกว่าสมบัติของเราอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นแล้วก็เกิดเวทนาตัวเอง เพราะแสงสีที่พุ่งขึ้นมามีเพียงรำไรๆ ผมเอามือลูบแขนเล่นแก้เขิน ผมตกใจจริงๆ แต่สติยังมั่นคงอยู่ ก็ผิวหนังที่แขนเป็นตุ่มเป็นหนามคล้ายผิวมะกูด จะลูบไปตรงไหนๆก็เหมือนกันหมด ขนลุกซู่ซ่าทั้งตัว ลองเอามือลูบศีรษะ ท่านเชื่อมั้ยครับ เส้นผมแข็งชี้ทั้งหัวประดุจดังขนเม่น ผมไม่สนใจเรื่องเนื้อตัวและเส้นผม แต่ผมอยากทราบว่าอะไรที่อยู่ใต้ดินเกิดแสงลุกดังเปลวเพชรนั่น จึงลองทดสอบพลังจิตดูว่าจะทำได้ไหม ผมไม่สนใจไอ้ดำทมิฬนั่นแล้ว เพราะนึกถึงคำสอนของหลวงปู่แหวน ว่าขณะเมื่ออยู่ในฌาน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรๆก็ทำอันตรายเราไม่ได้ถ้าจิตเรามั่นอยู่ ไอ้ดำมันยืนดูนิ่งเหมือนยักษ์หิน เมื่อผมหาที่นั่งได้เรียบร้อยก็อธิษฐานจิตเพ่งกระสิน (เจริญกรรมฐานด้วยการลืมตาเพ่งไปจุดที่เป็นเป้าหมาย อย่างเช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ กระแสน้ำ เปลวเทียน ฯ ) ผมมุ่งเพ่งไปที่หลุมสมบัติไอ้ดำก่อน ใช้พลังจิตเพ่งเพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุใต้ดินขึ้นมา ชั่วคู่เดียวพื้นดินตรงนั้นค่อยๆแตกและสูงขึ้นๆ (เหมือนดูหนังผีที่โลงมันกำลังจะโผล่ขึ้นจากหลุมฝังนั่นแหละ ) ค่อยๆโผล่ขึ้นมาทีละน้อยๆช้าๆจนพ้นผิวดิน ไอ้ดำยืนดูเฉยๆมันไม่แสดงทีท่าอะไรเลย แต่ผมซิรู้สึกตื่นเต้นมาก ลุกขึ้นเดินเข้าไปสำรวจดูอยากเห็นว่ามันมีอะไรข้างใน ลืมบอกว่าสิ่งที่ขึ้นมาจากหลุมใต้ดินนั้น เป็นหีบเหล็กโบราณและถูกล๊อคด้วยกุญแจโบราณอย่างดีเหมือนกัน แสงสีพวยพุ่งมากกว่าอยู่ใต้ดินเยอะเลยครับ ผมอยากรู้ว่าภายในหีบนั้นจะมีอะไรกันแน่ ขณะนั้นไม่ได้คิดกลัวไอ้ดำอีกแล้ว คิดว่ามันทำอะไรเราไม่ได้ก็เลยได้ใจหาไม้มางัด เอาก้อนหินมาทุบ กุญแจไม่หลุด หีบก็ไม่เปิด ลืมไปว่าทำไมไม่ใช่เพ่งกระสิน เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงนั่งลง ส่งสายตามองไปที่ฝาหีบแล้วภาวนาต่อไป เพียงชั่วคู่ฝาหีบก็ระเบิดขึ้นมา ทันใดนั้นเองประดุจดังเปลวเพลิงแสงเพชรนิลจินดาก็พวงพุ่งขึ้นยังกระภูเขาไฟระเบิด ผมลุกขึ้นเดินไปชะโงกดูทรัพย์สมบัติในหีบนั้น มันเกือบเต็ม มันเหมือนในหนังเรื่องตะเกียงกายสิทธิ์ ที่ชมตั้งแต่ยังเด็กๆนั่นแหละครับ ท่านเชื่อไหมในใจไม่คิดอยากได้มันมาเป็นของเราเลย นิมิต ถึงได้ดำเนินการติดต่อกันไปได้เรื่อยๆ หลังจากนั้นก็นึกถึงของตัวเองตามตำแหน่งที่ไอ้ดำมันบอก ( ที่จริงไม่ทราบว่ามันชื่ออะไรหรอก ผมเรียกไปตามรูปพรรณสันฐานของมัน ) ผมนั่งลงใหม่ คราวนี้ไม่ยากแล้ว ดำเนินการตามที่แล้วมาไม่นาน พอฝาหีบของผมเปิดออก ก็ลุกขึ้นไปดู พอเห็นนึกสงสารตัวเอง โถ ! วาสนาช่างน้อยเหลือเกิน รำพึงอยู่ในใจ มีแก้วแหวนเงินทองเครื่องประดับกองอยู่ก้นหีบสูงสักฝ่ามือตะแคงๆได้มั้ง แสงที่มันพุ่งขึ้นมามีพอๆกับเตาไฟที่ก่อใหม่ๆแววๆวาวๆเท่านั้น แต่ไม่ได้นึกเสียใจหรือน้อยใจนะ ผมหันไปดูไอ้ดำ หน้าตามันบ่งบอกถึงความเย้ยหยัน มันแสยะยิ้มเยาะเย้ยโคลงศีรษะไปมา วางท่าภูมิฐาน คล้ายจะบอกของมันมากกว่าเราเยอะ
    ขณะนั้นเสียงนาฬิกาตีดัง 2 ครั้ง ผมเอามือคลำดูตามร่างกาย ปรากฏว่าผิวหนังจางหายจากตุ่มหนามไปมากแล้ว และเส้นผมก็อ่อนลงเยอะแล้วแต่ก็ยังมีแข็งชี้ยู่บ้าง จึงอธิษฐานจิตออกจากกรรมฐาน เมื่อปกติดีแล้วจึงปลุกภรรยา ซึ่งหลับอยู่อย่างสบายใกล้ๆนั่นแหละ เมื่อเขาตื่นแล้วก็บอกให้คลำตัวดูหน่อยซิ “เป็นอาไรหรือ” เถอะน่า พอภรรยาคลำแขนคลำตัวเขาก็ตกใจรีบถามทันที เป็นอาไรๆๆๆๆ” ลุกขึ้นสำรวจร่างกายผม ทำไมเส้นผมชี้อย่างนี้เล่า ผมบอกว่า “ปฏิบัติกรรมฐานแล้วเล่นกับนิมิตเพลินไป ไม่ต้องตกใจไม่เป็นอะไรหร็อก แล้วจะเล่าให้ฟังตอนเช้า ”หลังจากนั้นก็นอนต่อจนสว่างแล้วก็เล่าเหตุการณ์ใน นิมิต ให้ภรรยาฟังขณะที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ไปปฏิบัติราชการตามปกติ
    ถึงที่ทำงานเนื้อตัวยังเป็นตุ่มเหมือนอาการหนาวมากๆนั่นแหละครับ เส้นขนก็ยังลุกซู่ๆซ่าๆเป็นบางช่วง มีความสงสัยว่านิมิตครั้งนั้นไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา จึงอยากสอบอารมณ์กับท่านผู้มี ญาณเหนือกว่า ก็ยังไม่ทราบว่าจะมีใครที่ไหน ฉับพันธ์ก็คิดถึง พระเดชพระคุณเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่วัดท้ายตลาด ถนนสำราญรื่น ต.ท่าอิฐ อ. เมือง จ. อุตรดิตถ์ เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติกรรมฐานจนเชี่ยวชาญ ก็คิดว่าหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ จะต้องไปรบกวนขอสอบอารมณ์กับท่านให้ได้หายสงสัยแน่ๆ ขณะที่กำลังคิดเพลินๆอยู่นั้น เผอิญคุณมหาจะนะ(สมัยก่อนบวชเรียนนักธรรมและบาลี จนสอบได้มหา เขาเรียกมหา เป็นคำนำหน้านาม ) เดินเข้ามาหาผมพอดี เขาเป็นพนักงานเก็บเงินค่าขยะของเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ที่มาหาผมก็เพราะผมทำหน้าที่จ่ายเงินค่าขยะของบ้านพักข้าราชการประจำเดือนทุกๆเดือนจึงคุ้นเคยกันมาก เมื่อแล้วเสร็จจากงานหลวง ก็จะสนทนาธรรมกันตามปกติเสมอมา วันนั้นมีเรื่องพิเศษที่แจ้งแล้วเบื้องต้น จึงขอสอบอารมณ์กับมหาจะนะ พอผมเล่าเรื่องในนิมิตให้ฟังจบ มหาจะนะบอกทันทีว่า คุณพี่ครับ เกือบไปแล้วซิ นี่ถ้าพี่มีตัวโลภะอยู่ก็คงไปขุดดินอยู่ที่ตรงนั้นแล้วระมั้งครับ จงหายสงสัยได้แล้ว พี่โดนพญามารตัวโลภะ มาทดสอบจิตว่ายังมีความโลภ ความทะเยอทะยานอยาก (กิเลส ) อยู่ในจิตอีกไหมนี่แสดงว่าพี่ตัดกิเลสตัวโลภะได้แล้ว ที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น ไอ้ตัวร้ายคือความอยาก ดีแล้วนะไม่งั้นเสร็จมัน ต้องไปเที่ยวขุดหาสมบัติเป็นบ้าอยู่ที่ขอบสระนั่นแหละ ว่าแล้วมหาจะนะก็จัดแจงเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าเตรียมกลับเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ผมต้องรีบขอร้องว่าเดี๋ยวก่อนๆยังมีอีกเรื่องที่สงสัย มหาจะนะจึงนั่งลงใหม่ แล้วผมก็พูดถึงเรื่องเนื้อตัวเกิดขนลุกพองเป็นผิวมะกรูด นี่มันเกิดจากอะไรกัน มหาจะนะเอามือคลำแขนผมแล้วบอกว่ามันเป็นเรื่องของกรรมฐาน ผู้ที่สำเร็จถึงฌานชั้น 4 (ปฐมฌาน ) ก็จะเจอเหตุการณ์อย่างนี้แหละครับ ผมเองไม่เคยมีประสบการณ์ เพียงแต่รู้จากการเล่าเรียน ไม่ใช่นักปฏิบัติ ผมนักปริยัติ (ปริยัติ คือการเล่าเรียนตามตำรา ส่วนปฏิบัติคือนักทำความเพียรปฏิบัติกรรมฐาน ) นักเรียนก็เพียงแต่รู้ เช่นรู้ว่าเกลือเค็ม แต่ไม่รู้ว่ารสมันเค็มเป็นอย่างไร แต่นักปฏิบัติจะรู้ทั้งรูปและทั้งรส คงเข้าใจนะ แล้วก็รีบเดินออกจากห้องไป เหมือนกับว่ามีคนที่รู้ใจคอยอยู่
    เฮ้อ ! โล่งอกไปที ถ้าไม่ได้คุณมหาจะนะก็คงต้องไปรบกวนถามพระ นี่แหละคือการสอบอารมณ์ ถ้าขัดข้องสงสัยสิ่งใด จะละเว้นปล่อยปะละเลยไม่ได้ ต้องหาคำตอบให้ได้ ไม่งั้นการปฏิบัติกรรมฐานจะไม่ก้าวหน้า ดังนั้นท่านอย่างมัวลังเล อย่างปล่อยให้เวลามันล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกอิริยาบท ปฏิบัติได้ทั้งนั้น จะทำให้เรามีสติรอบคอบดีอยู่เสมอ ความสุขที่แท้จริงก็จะเป็นของเรา จิตเราก็จะสะอาดปราศจากกิเลสใดใดมาพัวพันธ์ให้มัวหมอง ยามตื่นก็มีความสุข ยามหลับก็ไม่ฝันร้าย เมื่อยามตายประตูนรกก็ไม่เปิดรับ ขอเพียงท่านปฏิบัติกรรมฐานเพียงให้จิตสงบแค่งูตวัดลิ้น หรือแค่ช้างสะบัดหู ก็เพียงพอแล้ว
    ที่สุดนี้ สมควรแก่เวลา จึงขอยุติการสาธยายธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าโอกาสหน้าคงจะได้รับใช้กันใหม่ ถ้าส่วนใดขาดตกบกพร่องหรือไปทำให้สะเทือนอารมณ์ ขอได้โปรดให้อภัยแด่กระผมด้วย เพราะไม่สันทัดในการใช้อักขระและอักษรตลอดจนใช้ถ้อยคำทางด้านธรรมะ แล้วพบกันใหม่ ขอให้ท่านจงประสบสุขสมหวังในสิ่งที่มุ่งหมายในปรารถนาจงทุกประการเทอญ…………
    สวัสดี
    (นายอนันต์ หลวงกิจจา )




    18 ต.ค. 2557   8:31:43 PM   IP : 49.48.178.10

    อ.บังนันต์ โทร 086-2092436
    หมอดูดวงระดับ58


    ตอบ : 22319 ครั้ง

    คะแนนการตอบครั้งนี้
    1 คะแนน
    หากคุณเป็นเจ้าของข้อความนี้ คลิก เข้าสู่ระบบ
    และกลับมาแก้ไขข้อความได้

    ดูดวงกับอาจารย์บังนันต์ เลข7ตัวแบบพิสดาร ไม่เหมือนใคร โทรติดต่อที่ 086-2092436

    14 คำถามดูดวง ที่ตอบล่าสุด
  • รบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 11/1/2559 17:47:14 เวลา 17:47:14 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 9:57:02 น.
  • ทำงานนายหน้าค้าที่ดินจะสำเร็จไหมในปี 2557-2558 ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 9:40:09 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 11:07:27 น.
  • ความรักบ้านบางปูช่วยดูให้ด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 16 ต.ค. 2557 เวลา 11:20:04 น.
  • รบกวนอ.บังนันต์ช่วยดูด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 8/2/2559 10:17:37 เวลา 10:17:37 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 17 ต.ค. 2557 เวลา 15:04:47 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 13/9/2562 13:58:26 เวลา 13:58:26 น.
  • มีเกณฑ์จะได้ย้ายบ้านใหม่เมื่อไหร่ครับ ? อีกกี่ปีครับผม ? ตอบเมื่อ 17 ต.ค. 2557 เวลา 14:54:11 น.
  • เมื่อไหร่หมดกรรม   ขอความเมตตาตาจากอ.บังนันต์ ตอบเมื่อ 18 ต.ค. 2557 เวลา 20:31:43 น.
  • ดูดวงรบกวนอ.อนันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ตอบเมื่อ 20 ต.ค. 2557 เวลา 11:13:28 น.
  • การเงินตุลาคมถึงธันวาคม/57 ตอบเมื่อ 10 พ.ย. 2557 เวลา 12:27:29 น.
  • การเงินตุลาคมถึงธันวาคม/57 ตอบเมื่อ 10 พ.ย. 2557 เวลา 12:21:47 น.
  • การเงินตุลาคมถึงธันวาคม/57 ตอบเมื่อ 24 ต.ค. 2557 เวลา 9:19:34 น.
  • ดูคำถามดูดวงที่เคยตอบแล้วทั้งหมด


    อนุโมทนาครับอาจารย์



    โดย พิศุทธ์ 8 พ.ค. 2559   7:43:30 PM   IP : 110.168.251.109
    หัวข้อดูดวงนี้รอนักดูดวงประจำเว็บมาตอบเพิ่มเติมก่อน คุณจึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นได้
    หากคุณเป็นนักดูดวงประจำเว็บ คลิก เข้าสู่ระบบ
    แล้วกลับมาตอบคำถามอีกครั้ง
    กดแชร์ให้เพื่อนๆ ด้วยนะ
    LINE it!